วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
การเปิดพระโอษฐ์ คืออะไร..??
คนเราเกิดมาจะมีองค์บารมีคุ้มครองสังขาร เรียกว่า "เทวดาประจำตัว" ที่ทักกันว่ามีองค์นั้น มีกันทุกคน จะเป็นองค์เทพ- พรหมหรือสัมภเวสี ก็แล้วแต่กุศลมูลเดิมหรือสัญญาที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ คนเราไม่สามารถที่จะเลือกองค์บารมีประจำสังขารได้ ขึ้นอยู่กับกุศลและบารมีของผู้นั้น บุคคลใด ที่พูดว่าเทพองค์นั้นองค์นี้ เสด็จมาประทับร่างของตนนั้น เป็นการหลงเข้าใจผิด โดยไม่รู้จริง องค์เทพที่เจ้าตัวได้คุยเอาไว้นั้น
ส่วนใหญ่ จะเป็นสัมภเวสี วิญญาณระดับเจ้าพ่อเจ้าแม่ ไม่มีฤทธิ์ไปช่วยเหลือมนุษย์อื่นใดได้หรือ?
เทวดาประจำตัวเรานั้นจะอยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก รอบๆตัวเรา การเชิญองค์บารมีหรือเทวดาของตนเองมาประทับร่าง หรือเรียกว่า “ การเปิดพระโอษฐ์” ใช่ว่าเมื่อเปิดแล้วจะได้เป็น “ คนทรง” หรือ “ ร่างทรง” อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ เพราะว่าเทพแต่ละองค์นั้นท่านจะมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น เปิดพระโอษฐ์ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ปราบมาร ปราบผี ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในทางโชคชะตาราศี เทพส่วนมากจะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้น ดลจิตใจผู้นั้นให้ญาณ หรือสัมผัสทิพย์ ก็แล้วแต่องค์ของผู้นั้นท่านจะให้รู้อะไร โดยจะไม่มีหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้อื่น
ดังที่เห็นสำนักทรงจำนวนมากที่เทพของตนเองไม่มีหน้าที่ หรือว่าร่างทรง หรือคนทรงนั้นไม่มี “ บารมี” พอที่จะเปิดพระโอษฐ์เชิญเทพลงมาได้ จึงมักหาวิธีการหลอกหากินด้วยการให้รับขันธ์ เทพต่างๆ ก็แล้วแต่จะอุปโหลกชื่อเทพดังๆ ให้หลงเชื่อรับขันธ์เทพ หาเงินทองเข้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสัมภเวสีทั่งสิ้น เพราะเจ้าตำหนักทรงก็เป็นพวกเดียวกัน บ้างก็จัดฉากแต่งตัวเลียนแบบเทพสร้างภาพยกย่อง เพื่อที่จะผูกมัดใจให้ศิษย์ ให้หลงอยู่กับเจ้าสำนัก เพื่อที่จะให้ลูกศิษย์คนนั้นพาญาติสนิทมิตรสหายมาหากันมากๆ เพื่อที่จะได้ลาภสักการะต่อไป
องค์บารมีประจำสังขาร ถ้าเปรียบกับพระไตรปิฎก ( คนที่มีไว้แต่ไม่เคยเปิดอ่านเลย หรือเมื่อเปิดอ่านแต่ก็ไม่เข้าใจก็คงจะต้องมีพระมาแปลให้ และถึงแม้ว่าจะได้เล่าเรียนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ได้ตกทอดกันมา 2550 ปีแล้วก็ตาม หากไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็หาเกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้อ่านไพระไตรปิฎกไม่)
องค์บารมีประจำสังขารก็เช่นเดียวกัน เมื่อไม่ได้เปิดองค์ลงมาประทับร่าง ก็มีไว้เพียงคุ้มครองเจ้าของร่างได้เป็นบางคนเท่านั้น ( แต่ไม่ทุกคน) หากองค์บารมีคุ้มครองสังขารของมนุษย์ได้ทุกคน คนเราก็คงจะไม่ประสบกับเคราะห์กรรม เจ็บป่วย ไม่ประสบอุบัติเหตุ ไม่ถูกผีเข้า หรือถูกคุณไสย และอีกประการหนึ่ง องค์บารมีก็ไม่สามารถป้องกันร่างจาก เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ ที่ติดตามมาทวงหนี้ในชาตินี้ได้ พูดกันง่ายๆ องค์จะลงต้องเคลียร์สิ่งต่างๆ ที่แทรกในตัวออกก่อน
ฉะนั้นการ “ เปิดพระโอษฐ์” หรือการเปิดให้คนเรานั้นพูดภาษาเทพได้ จะทำให้เทพที่คุ้มครองร่างของเราสามารถลงมาประทับร่างได้ บางคนได้สร้างสมบารมีเอาไว้ในอดีตชาติมามาก มีกุศลมูลเดิมมามาก เมื่อเปิดแล้วจะพูดภาษาเทพได้อย่างคล่องแคล่ว ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งถ้าปฏิบัติไปอีกไม่นานก็จะสามารถสื่อกับองค์บารมีเป็นภาษามนุษย์ได้ “ คนที่ไม่ได้มีสะสมบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ และในชาตินี้ไม่ได้สร้างตนโดยการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิกรรมฐาน ไม่รู้จักให้ทาน ก็จะเปิดให้พูดภาษาเทพได้ยาก ( ต้องทำการประจุองค์พระธรรมให้มาก)
ส่วนมากองค์เทพเหล่านี้จะลงประทับร่างเพื่อมาคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนที่เปิดออกมา แทนที่จะเป็นองค์บารมีประจำสังขาร กลายเป็นว่าเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา เป็นวิญญาณเร่ร่อน หรือวิญญาณที่ถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย ซึ่งส่วนมากจะเป็นวิญญาณผีตายโหงทั้งสิ้น
ศิษย์ที่อาจารย์เปิดปากให้พูดภาษาเทพได้ เป็นส่วนมากที่ “ พูดภาษาเทพได้ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง” คือแปลภาษาเทพไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วเป็นความลับสวรรค์ ห้ามแปล บางครั้งก็สามารถรู้ในจิตได้
เทพ - เทวดานั้น มนุษย์ที่จะสื่อกับท่านได้รู้เรื่องจะต้อง
๑ . เป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดพอสมควร
๒ . มีบารมีสะสมมาจากอดีตชาติ
๓ . ศรัทธาในองค์บารมีประจำสังขารของตนเอง
๔ . ปฏิบัติตน สร้างบารมี มีศีลธรรม
ถ้าไม่ปฏิบัติตน ในที่สุดก็จะห่างเหินจากองค์บารมีของตนเอง ก็จะไม่สามารถที่จะพูดภาษาเทพได้อีกเลย และในที่สุดก็จะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากองค์พระบารมีได้
ผลพลอยได้จากการเปิดพระโอษฐ์
๑ . ทำให้ทราบว่ามีวิญญาณของบรรพบุรุษที่เรียกว่า “ ผีปู่ย่า” วิญญาณทั่วๆ ไป เช่นวิญญาณผีตายโหง ซึ่งถูกส่งมาด้วยวิชาคุณไสย อยู่ในร่างของผู้มาเปิดพระโอษฐ์ หรือไม่ ?
๒. บรรพบุรุษของบางท่านที่มีเชื้อสายจีน ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญทำทานไปให้ ก็จะมาเกาะกินกับลูกหลาน
เป็นวิญญาณที่อด ๆ อยาก ๆ เพราะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล แทนที่จะมาช่วยร่างกลับกลายเป็น
ว่าไม่เป็นผลดีกับลูกหลานเลย วิญญาณประเภทนี้แก้ไขด้วยการทำสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ วิญญาณประเภทนี้ไม่สามารถขับไล่ได้
๓. วิญญาณที่มาเกาะหรือแฝงอยู่ในตัว จะทำให้สังขารของคนผู้นั้นไม่สบาย ปวดหัว ปวดแขน ปวดขา กลายเป็นคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง วิญญาณพวกนี้จะต้องขับไล่ออกไป เพราะว่ามิใช่ให้โทษเฉพาะการเจ็บป่วยเท่านั้น แต่จะส่งผลให้กิจการค้าและครอบครัวมีแต่ความวุ่นวายไปหมดทุกอย่าง ไม่มีความเจริญก้าวหน้า
ใด ๆ ในชีวิตของคนผู้นั้นเลย
๔. วิญญาณระดับสูงที่เรียกว่า “ มาร” นั้นจะเป็นเทวดาฝ่ายมาร ซึ่งเรียกว่า “ มารเบื้องสูง” สังขารที่มารเหล่านี้สิงสถิตอยู่ จะเป็นมนุษย์ขี้คุยโม้โอ้อวด ชอบที่จะอ้างว่าตนเองนั้นมีเทพองค์ใหญ่ ๆ ทั้งนั้นลงมาประทับร่าง มารประเภทนี้มีฤทธิ์
มากพอสมควร ร่างทรงไม่สามารถปราบได้ นอกจากร่างทรงที่มี “ บารมี” สูงเท่านั้น (แต่หาได้ยากมาก)
๕. วิญญาณประเภทเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือปู่ทั้งหลายนั้น ถ้ามิใช่ “ พ่อปู่ใหญ่” หรือ “ พระฤษี ๑๐๘ องค์”
ถือว่าเป็น “ สัมภเวสี” วิญญาณประเภทนี้เป็นวิญญาณที่มาสร้างบุญช่วยเหลือมนุษย์ มีดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่สังขารที่สิงอยู่ ผู้ที่ไปหาคนทรงประเภทนี้ต้องใช้สติปัญญา จริงหรือไม่จริง ควรสังเกตดูจากผลงานที่ท่านได้รับจากการทำพิธีของเจ้าทรงเหล่านี้ซึ่งบางท่านกว่าจะรู้ตัวก็หมดเงินทองไปหลายพันหลาย หมื่นบาทแล้ว “ เพราะฉะนั้นกรุณา ดู ฟัง ใช้สติปัญญาคิด ไตร่ตรองดูเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ ก็ยังไม่สายเกินไป” การเปิดพระโอษฐ์เชิญองค์บารมีลงประทับนั้นหาใช่ว่าจะทำให้ร่างนั้นร่างทรงก็หาไม่ เพราะในขณะที่อัญเชิญท่านลงมานั้นเราจะมีสติอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าไม่อาจจะฝืนอาการเหล่านั้นได้ เช่น ขนลุกซู่ชูชัน ปากสวดหรือพูดภาษาที่ฟังไม่ออก มือ แขน ขา มีการขยับในอาการกริยาต่าง ๆ หนักตัว มือไม้ชา เป็นต้น การเปิดพระโอษฐ์นั้นเพื่อ ไล่ผี ปราบมาร ปราบคุณไสย หรือชี้แนะในโชคชะตาราศีแก่ผู้อื่น เทพส่วนมากจะลงมาคุ้มครองร่างของตนเองเท่านั้นโดยจะไม่ยอมช่วยเหลือใคร เพราะว่าเทพแต่ละองค์ท่านจะทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน บางองค์ลงมาเพื่อสร้างบารมีโดยการช่วยเหลือมนุษย์ เช่น รักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยผ่านทางญาณเทพที่อยู่กับร่าง มันจะเกิดความรู้แปลก ๆ ผุดขึ้นมาทางจิต แล้วพูดทายทักออกไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่การลงประทับทรงอย่างที่เคยเห็น เพราะลักษณะร่างทรงนั้นส่วนใหญ่จะตายแล้วฟื้นขึ้นมา เวลาท่านลงร่างจะมีอาการสั่นอย่างรุนแรงและจะไม่มีสติรู้สึกตัวว่า พูดหรือทำอะไรออกไป จนกว่าญาณเทพจะถอยออกจึงจะเป็นตัวของตัวเอง และมีผู้มาเล่าให้ฟังในภายหลัง ส่วนมากองค์เหล่านี้จะลงมาเพื่อคุ้มครองร่างเท่านั้น บางคนเปิดออกมาแทนที่จะเป็นองค์สังขารบารมี กลับกลายเป็นวิญญาณแฝงเข้ามา อาจจะเป็นวิญญาณทั่วไปหรือเป็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรก็ได้
การเปิดพระโอษฐ์หรือเปิดภาษาเทพนั้น ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับบารมีเดิมของแต่ละคน บางคนสามารถพูดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่บางท่านก็ต้องใช้เวลาสวดยัติให้หลาย ๆ ครั้ง ภาษาที่ได้นั้นจะมีหลายภาษา ขึ้นอยู่กับการขยันเรียนของคนนั้นด้วย ถ้าได้แล้วขี้เกียจเรียนนาน ๆ เข้าก็จะเสื่อมหรือคลายหายไป ถ้าผู้ใดหมั่นฝึกฝนปฏิบัติก็จะพัฒนาก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป
แม้ว่าจะสามารถเปิดภาษาเทพได้ แต่ก็จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คือไม่เข้าใจภาษานั่นเอง ร่างนั้นก็จะต้องฝึกฝนในขั้นต่อไป คือการสื่อสารเข้าใจในภาษาที่องค์เทพท่านพูด โดยการฝึกฝนทางจิตอย่างที่เราเรียกว่าโทรจิต แม้จะใช้ภาษาใด ๆ ก็เข้าใจได้โดยจิตที่เราเรียกกันว่า นิรุติหรือภาษาศาสตร์ หรือให้องค์บารมีท่านพูดเป็นภาษาไทยเลยหรือสามารถแปลความหมายของภาษาเทพได้นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุหลายประการคือ
บารมีเดิมของแต่ละบุคคล
-คนมีบารมีมากย่อมสามารถพูดภาษาเทพได้เร็วภายในไม่กี่นาที
สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เป็นประจำ
- เพื่อปรับสภาวะจิตของเราให้ให้มีคลื่นความถี่ตรงกับสภาวะเทพ
ขยันเรียน ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้
-เหมือนคนขยันเรียนก็จบหลักสูตรเร็ว
รู้จักพัฒนาวิชาความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตให้เกิดประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
ประโยชน์/การปฏิบัติตน/การฝึกในขั้นสูงด้วยเหตุแห่งปัจจัยการเกิดที่แตกต่างกัน หากได้รู้จักถึงจักรวาลภายในกายและจิตของตนให้ถ่องแท้แล้ว มนุษย์ย่อมเข้าใจได้ถึงเส้นทางซึ่งต้องดำเนินไป ผลบุญใด ที่เข้าถึงพระรัตนตรัย บุญ นั้น ย่อมนำพาสู่เทพบารมี สู่สัญญาเก่า ประคับประคองสู่นิพพาน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น