tag:blogger.com,1999:blog-11950673624457869982024-02-07T19:36:31.001+07:00พิมานอากาศเส้นทางสายประวัติศาสตร์ จากอดีตถึงปัจจุบัน จากโลกทิพย์สู่โลกมนุษย์พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.comBlogger39125tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-43938881013724145612012-09-07T17:53:00.001+07:002012-09-07T17:53:49.542+07:00ต้นสาละและต้นลูกปืนใหญ่ พันธุ์ไม้ต่างชนิดกันแต่เข้ามาเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญ (รศ.ดร. นริศ ภูมิภาคพันธ์)<p><strong>นำเรื่อง</strong></p> <p align="justify">ความสับสนระหว่างต้นไม้ 2 ชนิด คือ ลูกปืนใหญ่ (Cannon Ball Tree; Couroupita guianensis Aubl.) บางครั้งเรียกว่า สาละลังกา เป็นพันธุ์ไม้ ที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ต่อมามีผู้นำไปปลูกในดินแดนต่างๆ รวมทั้งประเทศศรีลังกา กระทั่งมีการนำจากศรีลังกาเข้ามาปลูกในประเทศไทย เราสามารถพบเห็นปลูกตามวัดต่างๆ ในประเทศไทย และติดป้ายว่าเป็น สาละ (Sal; Shorea robusta C.F. Gaertn.) ซึ่งผมมีโอกาสได้พบเห็นหลายครั้งทั้งวัดในกรุงเทพฯ และตามต่างจังหวัดปลูกต้นลูกปืนใหญ่ ในบริเวณลานวัด และบรรยายความรู้ว่าเป็นต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาประทับ ก่อนดับขันปรินิพพาน และเมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ผ่านเข้าไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสาละ (Sal; Shorea robusta) ได้พบเห็นแต่ภาพของต้นลูกปืนใหญ่ แฝงอยู่ในชื่อของสาละ (Sal; Shorea robusta) มีอยู่ค่อนข้างมาก และมีภาพที่ถูกต้องจริงๆ อยู่น้อยมาก นั่นหมายถึงการกระจายข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนออกไปค่อนข้างมาก ซึ่งน่าจะเป็นผลเสียต่อผู้รับข่าวสาร และข้อมูล และกระทบต่อความรู้ในพุทธประวัติ เรื่องนี้น่าที่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามความจริง </p> <p><strong>ความรู้เรื่องต้นสาละ กับพระพุทธองค์</strong></p> <p align="justify">โดยนัยของต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติที่กล่าวว่า พระพุทธองค์เสด็จดับขันปรินิพพาน ใต้ ต้นซาล หรือสาละ ในเมืองกุสินารา ป่าซาล หรือป่าสาละ (Sal forest) ซึ่งเป็นป่ายางผลัดใบ (Dry dipterocarp forest) คล้ายกับป่าเต็งรัง ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่พบว่ามี ไม้ซาล เป็นไม้เด่นประจำป่า นอกจากนั้นหลายๆ หลายบทความที่อ่านพบ หรือนำเผยแพร่ใน Internet ได้อธิบายลักษณะต่างๆ ของสาละได้ถูกต้องในชนิดของ สาละ (Sal; Shorea robusta) แต่พบว่าการเลือกใช้ภาพประกอบเป็นชนิด ต้นลูกปืนใหญ่ การนำต้นลูกปืนใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทั้งในเรื่องพุทธประวัติ และเขตการกระจายทางพฤกษภูมิศาสตร์ (Plant Geography) ของไม้ลูกปืนใหญ่ ซึ่งมิได้มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติในประเทศเนปาล อินเดีย และศรีลังกาแต่ประการใด แต่อยูไกลถึงทวีปอเมริกาใต้</p> <p align="justify">มีหลายท่าน เช่น วัฒน์ (2550) พยายามที่จะสื่อให้ความรู้นี้ ในรูปบทความ และเผยแพร่ในสื่อตาม Website แต่ยังไม่แพร่หลาย จึงขอนำมากล่าวไว้อีก ครั้ง และสามารถ คลิกเข้าไปอ่านหรือชมภาพได้ตาม Website ต่างๆ ที่ได้ Link ไว้ในบทความนี้ ละเอียดของต้นไม้ 2 ชนิด มีดังนี้</p> <p><strong>1. ลูกปืนใหญ่ หรือสาละลังกา </strong> <br /><strong>ชื่อสามัญเรียก</strong> Cannon Ball Tree <br /><strong>ชื่อพฤษศาสตร์ </strong>Couroupita guianensis Aubl. <br /><strong>วงศ์ </strong>Lecythidaceae </p> <p><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/cannonball_tree01.jpg" /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/cannonball_tree02.jpg" /> <br />[ดอกและลำต้น ลูกปืนใหญ่หรือสาละลังกา] </p> <p align="justify">ลักษณะพืช เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง 15-25 เมตร เรือนยอดกลมหรือรูปไข่หนาทึบ เปลือกต้นขรุขระตกสะเก็ดเป็นร่อง คล้ายหนามตามลำต้น เปลือกสีน้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงเวียนเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ลักษณะใบยาวรูปหอกหรือรูปไข่ ขอบใบจักสั้น ออกดอกเป็นช่อใหญ่ตามลำต้น ช่อดอกยาว ปลายช่อโน้มลงกลีบดอกหนา 4-6 กลีบ กลีบค่อนข้างแข็ง ดอกตูมจะเป็นสีเหลือง เมื่อบานดอกจะมีสีแดง หรือสีชมพูอมเหลือง กลิ่นหอมฉุน ออกดอกเกือบตลอดปี ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกแข็ง ลักษณะคล้ายลูกปืนใหญ่สมัยโบราณ มีเมล็ดจำนวนมาก ชอบแดดจัด น้ำปานกลาง ดอกมักดกมากในช่วงหน้าฝน ดอกบานและร่วงในวันเดียว ตอนเย็น </p> <p><strong>2. ซาล, สาละ </strong> <br /><strong>ชื่อพฤษศาสตร์</strong> Shorea robusta C.F. Gaertn. <br /><strong>ชื่อสามัญ</strong> Shal, Sakhuwa, Sal Tree, Sal of India <br /><strong>วงศ์</strong> Dipterocarpaceae </p> <p><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree04.jpg" /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree05.jpg" /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree06.jpg" /> <br />[ใบ ดอก และป่าต้นสาละ] </p> <p align="justify">ถิ่นกำเนิด พบในประเทศเนปาล และพื้นที่ทางเหนือของประเทศอินเดีย มักขึ้นเป็นกลุ่ม ในบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น เป็นไม้ที่อยู่ในวงศ์ยาง พบมากในลุ่มน้ำยมุนา แถบแคว้นเบงกอลตะวันตก และแคว้นอัสสัม ลักษณะพืช เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ ลำต้น เปลาตรง เปลือกสีเทาแตกเป็นร่อง เป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ปลายกิ่งมักจะลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ใบ เดี่ยว ดกหนาทึบ รูปไข่กว้าง โคนใบเว้าเข้า ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็นมันขอบใบเป็นคลื่น ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม ผล เป็นผลชนิดแห้ง แข็ง มีปีก 5 ปีก ปีกยาว 3 ปีก ปีกสั้น 2 ปีก บนแต่ละปีกมีเส้นตามความยาวของปีก 10-15 เส้น </p> <p align="justify">สาละเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีประโยชน์มาก ชาวอินเดียนำมาสร้างบ้านเรือน ต่อเรือ ทำเกวียน ทำไม้หมอนรถไฟ ทำสะพาน รวมถึงทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ และน้ำมันที่ได้จากเมล็ดนำมาทำอาหาร เช่น ทำเนย และใช้เป็นน้ำมันตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ด้วย </p> <p align="justify">สรรพคุณด้านสมุนไพรของต้นสาละ พบว่ายาง สามารถใช้เป็นยาสมานแผล ยาห้ามเลือด ใช้แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบ เป็นต้น ผล ใช้แก้โรคท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้น </p> <p>ที่มา : http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=maipradab&topic=4782</p> <p><strong>ทางออกเบื้องต้นสำหรับการแก้ไขปัญหานี้ </strong></p> <p align="justify">สาละ และลูกปืนใหญ่ พันธุ์ไม้ต่างชนิดกัน และมีถิ่นกำเนิดพบกระจายอยู่ห่างไกลต่างทวีปกัน แต่เข้ามาเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญ เนื่องจากความเข้าใจผิดในชื่อเรียกขาน ปัจจุบันความเข้าใจดังกล่าวได้แพร่กระจายออกไปไกล ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้น่าจะช่วยกันเผยแพร่ความรู้นี้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และตามวัดต่างๆ ที่ปลูกต้นลูกปืนใหญ่ หรือที่เรียกและรู้จักในชื่อ สาละลังกา เป็นพันธุ์ไม้ที่มิได้เกี่ยวข้องใดใดกับพุทธประวัติ อาจเปลี่ยนป้ายที่บรรยายว่าเป็นพันธุ์ไม้จากทวีปอเมริกาใต้ มีชื่อพ้องกับสาละอินเดีย เพื่อเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไป หรืออาจเสาะหา สาละ (Shorea robusta C.F. Gaertn.) มาปลูกเปรียบเทียบด้วย เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สาธารณชนผู้พบเห็น สุดท้ายนี้ ท่านผู้ใดที่มีต้นสาละ (Shorea robusta C.F. Gaertn.) น่าที่จะนำไปถวายวัด เพื่อปลูกเป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่เป็นวิทยาทานที่ถูกต้องต่อไป น่าจะเป็นกุศล และเป็นประโยชน์ไม่น้อย </p> <p><strong>เอกสารอ้างอิง และสิ่งอ้างอิง</strong></p> <p>วัฒน์. 2550. ข้อแตกต่างระหว่างต้นบัวสวรรค์ ต้นสาละลังกา ต้นสาละอินเดีย. Available source: http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=maipradab&topic=4782 http://www.geocities.com/indiatrees/talforest.jpg http://www.thummada.com/cgi-bin/iB315/ikonboard.pl?act=Print;f=9;t=1671 http://www.tradewindsfruit.com/cannonball_tree_pictures.htm <a href="http://www.treknature.com/gallery/Asia/Malaysia/photo9564.htm">http://www.treknature.com/gallery/Asia/Malaysia/photo9564.htm</a> </p> <p><strong>---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</strong></p> <p><strong>โพธิญาณพฤกษา : ต้นสาละใหญ่ (ต้นมหาสาละ) พันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ประทับตรัสรู้ </strong></p> <p><strong>ต้นสาละใหญ่ (ต้นมหาสาละ) </strong></p> <p align="justify">ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ โกณฑัญญพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 พระนามว่า พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 10 เดือนเต็ม จึงได้ประทับตรัสรู้ ณ ควงไม้สาละใหญ่ </p> <p align="justify">ต้นสาละใหญ่ (ต้นสาละอินเดีย) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "Shorea robusta Roxb." อยู่ในวงศ์ Dipterocarpaceae ในภาษาบาลีเรียกว่า "ต้นมหาสาละ" มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียทางเหนือ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเนปาล มักขึ้นเป็นกลุ่มๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น ชาวอินเดียเรียกกันโดยทั่วไปว่า "ซาล" (Sal, Sal of India) เป็นไม้พันธุ์ที่อยู่ในตระกูลยาง มีมากในแถบแคว้นเบงกอล อัสสัม ลุ่มน้ำยมุนา เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงราว 10-25 เมตร และสามารถสูงได้ถึง 35 เมตร ไม่ผลัดใบ </p> <p align="justify">เป็นไม้ที่มีความสง่างาม ด้วยว่ามีลำต้นตรง เปลือกสีน้ำตาลอมดำ แตกเป็นร่องสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มหนาทึบ ใบดกหนา รูปไข่ ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้น ผิวใบเป็นมันเกลี้ยง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ปลายกิ่งห้อยลู่ลง ดอกจะออกในช่วงต้นฤดูร้อน มีสีเหลืองอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อสั้นตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลแข็ง มีปีก 5 ปีก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง </p> <p align="justify">สาละใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีประโยชน์มาก ชาวอินเดียมักนำมาสร้างบ้านเรือน ต่อเรือ ทำเกวียน ทำไม้หมอนรถไฟ ทำสะพาน รวมถึงทำเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ และน้ำมันที่ได้จากเมล็ดนำมาทำอาหาร เช่น ทำเนย และใช้เป็นน้ำมันตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ด้วย </p> <p align="justify">นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณด้านพืชสมุนไพรด้วย คือ ยางใช้เป็นยาสมานแผล ยาห้ามเลือด ใช้แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบ เป็นต้น, ผลใช้แก้โรคท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้น </p> <p align="justify">สมัยก่อนคนไทยเข้าใจกันว่า ต้นสาละใหญ่เป็นต้นเดียวกับ ต้นรัง ที่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Shorea siamensis Miq." และใช้ในความหมายเดียวกันในพุทธประวัติ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ส่วนที่แตกต่างกันที่เด่นชัดคือ ต้นสาละใหญ่มีใบแก่ที่ร่วงหล่นเป็นสีเหลือง เกสรเพศผู้จำนวน 15 อัน เส้นแขนงใบย่อยมี 10-12 คู่ ผลมีเส้นปีก 10-12 เส้น มีขนสั้นรูปดาวปกคลุมประปราย ส่วนต้นรังใบแก่มีสีแดง เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก เส้นแขนงใบย่อยมี 14-18 คู่ ผลมีเส้นที่ปีก 7-9 เส้น และไม่มีขนปกคลุม <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree07.jpg" /> <br />[ภาพดอกสาละ] </p> <p align="justify">รวมทั้งยังเข้าใจว่า ต้นสาละใหญ่เป็นต้นเดียวกับ ต้นสาละ (ลังกา) หรือต้น ลูกปืนใหญ่ หรือต้นแคนนอนบอล ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Couroupita guianensis Aubl." มีดอกขนาดใหญ่สีแดงอมส้ม ซึ่งมีผู้นำมาจากประเทศศรีลังกา และได้รับการบอกเล่ามาว่าเป็นต้นสาละ ดังนั้น ในบางแห่งจึงได้เขียนบอกไว้ว่า ต้นสาละ (ลังกา) เพื่อป้องกันความสับสนนั่นเอง </p> <p align="justify">ในประเทศไทย หลวงบุเรศรบำรุงการ ได้นำเอาต้นสาละใหญ่หรือต้นซาลมาถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยปลูกไว้ที่หน้าพระอุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2510 อีก 2 ต้น ในจำนวนนี้ได้ทรงปลูกไว้ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 1 ต้น กับทรงมอบให้วิทยาลัยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ต.กระทิงลาย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อีก 1 ต้น </p> <p align="justify">อาจารย์เคี้ยน เอียดแก้ว และอาจารย์เฉลิม มหิทธิกุล ก็ได้นำต้นสาละใหญ่มาปลูกไว้ในบริเวณคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร และที่ค่ายพักนิสิตวนศาสตร์ สวนสักแม่หวด อ.งาว จ.ลำปาง </p> <p align="justify">พระพุทธทาสภิกขุ ก็ได้นำมาปลูกไว้ที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และนายสวัสดิ์ นิชรัตน์ ผู้อำนวยการกองบำรุง ก็ได้นำมาปลูกไว้ในสวนพฤกษศาตร์พุแค จ.สระบุรี ซึ่งต่างก็มีความเจริญงอกงามดี และคาดว่าคงจะให้ผลเพื่อขยายพันธุ์ไปตามสถานที่ต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นในเวลาอันควร <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree08.jpg" /></p> <p><strong>ต้นสาละอินเดียกับพระพุทธศาสนา</strong></p> <p align="justify">สาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละใหญ่ว่า "Sal" เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มีความสำคัญในพุทธประวัติดังนี้ </p> <p align="justify"><strong>ตอนพระพุทธเจ้าประสูติ </strong></p> <p align="justify">ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา ทรงครรภ์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติการ ณ กรุงเทวทหะ อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์ (ที่การคลอดบุตร ฝ่ายหญิงจะต้องกลับไปคลอดที่บ้านพ่อ-แม่ของฝ่ายหญิง) เมื่อขบวนเสด็จมาถึงครึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ณ ที่ตรงนั้นเป็นสวนมีชื่อว่า "สวนลุมพินีวัน" เป็นสวนป่าไม้ "สาละใหญ่" </p> <p align="justify">พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท (ปัจจุบันคือตำบล "รุมมินเด" แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล) พระนางประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยวกิ่งสาละใหญ่ และขณะนั้นเองก็รู้สึกประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติพระสิทธัตถะกุมาร ซึ่งตรงกับวันศุกร์ วันเพ็ญเดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี คำว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา" </p> <p><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/bohd_tree.jpg" /> <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/bohd_tree02.jpg" /> <br />[ต้นโพธิ์ Bohd tree (ลังกา) ส่วนประเทศอินเดียเรียก Pipal tree ] </p> <p><strong>ตอนก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้และแสดงธรรมเทศนา </strong></p> <p align="justify">เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่บรรจุอยู่ในถาดทองคำของนางสุชาดาแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์ได้สำเร็จพระโพธิญาณ ขอให้การลอยถาดทองคำนี้สามารถทวนกระแสน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชลาได้ เมื่อทรงอธิษฐานแล้วได้ทรงลอยถาด ปรากฏว่าถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ จากนั้นพระองค์เสด็จไปประทับยังควงไม้สาละใหญ่ ตลอดเวลากลางวัน ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ร่มเงาต้นโพธิ์ และได้ทรงบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลารุ่งอรุณยามสาม ณ วันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี </p> <p align="justify">ครั้นวันเพ็ญเดือน 8 สองเดือนหลังตรัสรู้ พระพุทธองค์เสด็จมาถึงบริเวณป่าสาละใหญ่อันร่มรื่น ณ อุทยานมฤคทายวันหรืออิสิปตนมฤคทายวัน ทางทิศเหนือใกล้เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ณ ที่นี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนากัณฑ์แรกคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ พระรัตนตรัยจึงเกิดครบบริบูรณ์ครั้งแรกในโลกนี้ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ </p> <p><strong>ตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน </strong></p> <p align="justify">เมื่อมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก ได้เสด็จถึงเขตเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญวดี เป็นเวลาใกล้ค่ำของวันเพ็ญเดือน 6 วันสุดท้ายก่อนการกำเนิดพุทธศักราช ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดพระที่บรรทม โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ระหว่างต้นสาละใหญ่ 2 ต้น แล้วพระองค์ก็ทรงเอนพระวรกายลง ประทับไสยาสน์แบบสีหไสยาเป็นอนุฏฐานไสยา คือการนอนครั้งสุดท้าย โดยพระปรัศว์เบื้องขวา (นอนตะแคงขวาพระบาทซ้ายซ้อนทับพระบาทขวา) และแล้วเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree01.jpg" /> <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree02.jpg" /> <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree09.jpg" /> <br />[ภาพถ่าย ๓ ภาพ] ต้นสาละที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน </p> <hr size="1" width="100%" noshade="noshade" /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree10.jpg" /> <br /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/sal_tree11.jpg" /> <br />[ภาพถ่าย ๒ ภาพ] ต้นสาละที่วัดเบญจมบพิตร เป็นต้นที่ในหลวงทรงปลูกไว้เมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ <br />มาให้ดูครับ ต้นยังไม่ใหญ่ ยังไม่มีดอก เป็นหลักฐานว่าคือต้นสาละ <hr size="1" width="100%" noshade="noshade" /> <p><strong>ต้นลูกปืนใหญ่ หรือ ต้นสาละลังกา (Cannon-ball Tree) </strong></p> <p><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/cannonball_tree03.jpg" /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/cannonball_tree04.jpg" /></p> <p align="justify"><strong>ต้นลูกปืนใหญ่ หรือ ต้นสาละลังกา หรือต้นแคนนอนบอล (Cannon-ball Tree)</strong> มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Couroupita guianensis Aubl." เป็นพืชอยู่ในวงศ์จิก วงศ์ Lecythidaceae (ปัจจุบัน จิกอยู่ในวงศ์ Barringtoniaceae) </p> <p align="justify">ต้นลูกปืนใหญ่ หรือ สาละลังกา มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศ Guiana และประเทศอื่นๆ ในแถบทวีปเอเมริกาใต้ โดยเฉพาะที่ราบลุ่มแม่น้ำอเมซอน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในประเทศเขตร้อน โดยเฉพาะในสวนพฤกษศาสตร์ </p> <p align="justify">เป็นพันธุ์ไม้นำมาจากประเทศคิวบา ศรีลังกาได้นำมาปลูกประมาณปี พ.ศ.2422 ส่วนประเทศไทยปลูกเมื่อปี พ.ศ.2500 เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยวออกเวียนสลับตามปลายกิ่งรูปใบหอกกลับ กว้าง 5-8 ซม. ยาว 15-30 ซม. ปลายแหลม โคนสอบ มน ขอบใบจักตื้นๆ </p> <p><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/cannonball_tree05.jpg" width="264" height="348" /><img src="http://www.watsai.net/sal_tree/cannonball_tree06.jpg" width="276" height="345" /></p> <p align="justify">ดอกช่อใหญ่ ยาว ออกตามโคนต้น ดอกสีชมพูอมเหลืองและแดง กลิ่นหอมแรง ออกเป็นช่อใหญ่ตามลำต้น กลีบดอก 4-6 กลีบ แข็ง หักง่าย เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 ซม. โคนของเกสรตัวผู้เชื่อมติดกันเป็นรูปโค้ง ผลกลม ใหญ่สะดุดตา ผลแห้งเปลือกแข็ง ผิวสีน้ำตาลปนแดง เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-20 ซม. ผลสุกมีกลิ่นเหม็น ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก รูปไข่ ออกดอกเกือบตลอดปี ต้องการแสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขึ้นได้ดีในดินทุกประเภท </p> <p><strong>ต้นลูกปืนใหญ่ หรือต้นสาละลังกา กับพระพุทธศาสนา </strong></p> <p align="justify">ถือว่าเป็นต้นไม้มงคลในพระพุทธศาสนา เนื่องจากชาวลังกาเห็นว่าดอกมีลักษณะสวยและมีกลิ่นหอมจึงนำไปถวายพระ อีกทั้งนิยมปลูกภายในวัดมากกว่าตามอาคารบ้านเรือน </p> <p>............................................................ </p> <p>ที่มา :: <br />1. ผู้จัดการออนไลน์ 1 กุมภาพันธ์ 2548 14:35 น. <br />2. <a href="http://www.rspg.thaigov.net/">http://www.rspg.thaigov.net/</a></p> <p> </p> <p>ขอขอบคุณ:<a title="http://www.watsai.net/sal_tree.php" href="http://www.watsai.net/sal_tree.php">http://www.watsai.net/sal_tree.php</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-35963837484643795492012-08-16T13:29:00.001+07:002012-08-16T13:30:44.795+07:00จริต ๖<p align="justify"><b>จริต </b>แปลว่า <b>จิตท่องเที่ยว</b> สถานที่จิตท่องเที่ยวหรืออารมณ์เป็นที่ชอบท่องเที่ยวของ <br />จิตนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงประมวลไว้เป็น ๖ ประการด้วยกัน คือ <br />          ๑. ราคจริต จิตท่องเที่ยวไปไปในอารมณ์ที่รักสวยรักงาม คือพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ <br />กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล รวมความว่าอารมณ์ที่ท่องเที่ยวไปในราคะ คือ ความกำหนัด <br />ยินดีนี้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของจริต มีอารมณ์หนักไปในทางรักสวยรักงาม ชอบการมีระเบียบ สะอาด ประณีต มีกิริยาท่าทางละมุนละไมนิ่มนวล เครื่องของใช้สะอาดเรียบร้อย บ้านเรือนจัดไว้อย่างมีระเบียบ พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะสกปรก การแต่งกายก็ประณีต ไม่มีของใหม่ก็ไม่เป็นไร แม้จะเก่าก็ต้องสะอาดเรียบร้อย ราคจริต มีอารมณ์จิตรักสวยรักงามเป็นสำคัญ อย่าตี ความหมายว่า ราคจริต มีจิตมักมากในกามารมณ์ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นพลาดถนัด <br />          ๒. โทสจริต มีอารมณ์มักโกรธเป็นเจ้าเรือน เป็นคนขี้โมโหโทโส อะไรนิดก็โกรธ อะไร <br />หน่อยก็โมโห เป็นคนบูชาความโกรธว่าเป็นของวิเศษ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่ได้โกรธเคือง โมโหโทโสใครเสียบ้างแล้ว วันนั้นจะหาความสบายใจได้ยาก คนที่มีจริตหนักไปในโทสจริตนี้ แก่เร็ว พูดเสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ ไม่ใคร่ละเอียดถี่ถ้วน แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว <br />          ๓. โมหจริต มีอารมณ์จิตลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ ชอบสะสมมากกว่าการจ่ายออก ไม่ว่า <br />อะไรเก็บดะ ผ้าขาดกระดาษเก่า ข้าวของตั้งแต่ใดก็ตาม มีค่าควรเก็บหรือไม่ก็ตามเก็บดะไม่เลือกมีนิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้ของของคนอื่น แต่ของตนไม่อยากให้ใคร ชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ชอบบริจาคทานการกุศล รวมความว่าเป็นคนชอบได้ ไม่ชอบให้ <br />          ๔. วิตกจริต มีอารมณ์ชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มีเรื่องที่จะต้องพิจารณานิดหน่อย <br />ก็ต้องคิดตรองอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสิน คนประเภทนี้เป็นโรคประสาทมาก มีหน้าตาไม่ใคร่สดชื่น ร่างกายแก่เกินวัย หาความสุขสบายใจได้ยาก <br />          ๕. สัทธาจริต มีจิตน้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ  เชื่อโดยไร้เหตุไร้ผล พวกที่ ถูกหลอกลวงก็คนประเภทนี้ มีใครแนะนำอะไรตัดสินใจเชื่อโดยไม่ได้พิจารณา <br />          ๖. พุทธจริต เป็นคนเจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบดี <br />การคิดอ่านหรือการทรงจำก็ดีทุกอย่าง <br />          </p> <p align="justify">อารมณ์ของชาวโลกทั่วไป สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลอารมณ์ว่า อยู่ในกฎ ๖ <br />ประการตามที่กล่าวมาแล้วนี้ บางคนมีอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนี้ครบถ้วน บางรายก็มีไม่ครบ มีมากน้อยยิ่งหย่อนกว่ากันตามอำนาจวาสนาบารมีที่อบรมมาในการละในชาติที่เป็นอดีต อารมณ์ที่มีอยู่คล้ายคลึงกัน แต่ความเข้มข้นรุนแรงไม่เสมอกัน ทั้งนี้ก็เพราะบารมีที่อบรมมาไม่เสมอกัน ใครมีบารมีที่มีอบรมมามาก บารมีในการละมีสูงอารมณ์จริตก็มีกำลังต่ำไม่รุนแรง ถ้าเป็นคนที่อบรมในการละมีน้อย อารมณ์จริตก็รุนแรง จริตมีอารมณ์อย่างเดียวกันแต่อาการไม่สม่ำเสมอกันดังกล่าวแล้ว <br /><b> <br />ประโยชน์ของการรู้อารมณ์จริต</b> <br />          นักปฏิบัติเพื่อฌานโลกีย์ หรือเพื่อมรรคผลนิพพานก็ตาม ควรรู้อาการของจริตที่จิต <br />ของตนคบหาสมาคมอยู่ เพราะการรู้อารมณ์จิตเป็นผลกำไรในการปฏิบัติเพื่อการละด้วยการ <br />เจริญสมาธิก็ตาม พิจารณาวิปัสสนาญาณก็ตาม ความสำคัญอยู่ที่การควบคุมความรู้สึกของ <br />อารมณ์  ถ้าขณะที่กำลังตั้งใจกำหนดจิตเพื่อเป็นสมาธิ หรือพิจารณาวิปัสสนาญาณอารมณ์จิต <br />เกิดฟุ้งซ่าน ไปปรารถนาความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ผูกพันในทรัพย์สมบัติบ้าง วิตกกังวลถึง <br />เหตุการณ์ต่างๆ บ้าง เกิดอารมณ์สัทธาหวังในการสงเคราะห์ หรือมุ่งบำเพ็ญธรรมบ้าง เกิด <br />อารมณ์แจ่มใส น้อมไปในความเฉลียวฉลาดบ้าง เมื่อรู้ในอารมณ์อย่างนี้ ก็จะได้น้อมนำเอา <br />พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มาประคับประคองใจให้เหมาะสมเพื่อผลในสมาธิ หรือ  <br />หักล้างด้วยอารมณ์วิปัสสนาญาณเพื่อผลให้ได้ญาณสมาบัติ หรือมรรคผลนิพพาน พระธรรมที่ <br />พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อผลของสมาบัติ ท่านเรียกว่า <b>"สมถกรรมฐาน" </b>มีรวมทั้งหมด <br />๔๐ อย่างด้วยกัน ท่านแยกไว้เป็นหมวดเป็นกองดังนี้ <br />          อสุภกรรมฐาน ๑๐ อนุสสติกรรมฐาน ๑๐ กสิณ ๑๐ อาหาเรฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ </p> <p align="justify"> <br />พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ รวมเป็น ๔๐ กองพอดี </p> <p align="justify"><b>แบ่งกรรมฐาน ๔๐ ให้เหมาะแก่จริต</b> <br />           เพราะอาศัยที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี มีมาเพื่อเป็นศาสดาทรงสั่งสอนบรรดาสรรพสัตว์เพื่อให้บรรลุมรรคผล ด้วยหวังจะให้พ้นจากทุกข์อันเกิดจากการเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏความเป็นสัพพัญญูของสมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์ พระองค์ทรงทราบถึงความเหมาะสมในกรรมฐานต่าง ๆที่เหมาะสมกับอารมณ์จิตที่มีความข้องอยู่ในขณะนั้น ด้วยตรัสเป็นพระพุทธฎีกาไว้ว่า เมื่อใดอารมณ์ <br />จิตของท่านผู้ใดข้องอยู่ในอารมณ์ชนิดใดก็ให้เอากรรมฐานที่พระองค์ทรงประทานไว้ว่าเหมาะสมกันเข้าพิจารณา หรือภาวนาแก้ไขเพื่อความผ่องใสของอารมณ์จิต เพื่อการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เพื่อมรรคผลนิพพานต่อไป ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลายจงสนใจเรียนรู้กรรมฐาน ๔๐ กอง และจริต ๖ <br />ประการ  ตลอดจนกรรมฐานที่ท่านทรงจัดสรรไว้เพื่อความเหมาะสมแก่จริตนั้นๆ ท่องให้ขึ้นใจไว้และอ่านวิธีปฏิบัติให้เข้าใจ เพื่อสะดวก เมื่อเห็นว่าอารมณ์เช่นใดปรากฏ จะได้จัดสรรกรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดว่าเหมาะสมมาหักล้างอารมณ์นั้นๆ ให้สงบระงับ ถ้านักปฏิบัติทุกท่านปฏิบัติ <br />ตามพระพุทธฎีกาตามนี้ได้ ท่านจะเห็นว่า การเจริญสมถะเพื่อทรงฌานก็ดี การพิจารณาวิปัสสนาญาณเพื่อมรรคผลนิพพานก็ดี ไม่มีอะไรหนักเกินไปเลย ตามที่ท่านคิดว่าหนักหรืออาจเป็นเหตุสุดวิสัยนั้นถ้าท่านปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะเห็นว่าไม่หนักเกินวิสัยของคนเอาจริงเลย <br />กับจะคิดว่าเบาเกินไปสำหรับท่านผู้มีความเพียรกล้าเสียอีก กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ท่านจำแนกแยกเป็นหมวดไว้ เพื่อเหมาะสมกับจริตนั้นๆ  มีดังนี้  คือ <br /><b> <br />๑. ราคจริต </b> <br />          ราคจริตนี้ ท่านจัดกรรมฐานที่เหมาะสมไว้ ๑๑ อย่างคือ อสุภกรรมฐาน ๑๐ กับกายคตานุสสติกรรมฐาน อีก ๑ รวมเป็น ๑๑ อย่างในเมื่ออารมณ์รักสวยรักงามปรากฏขึ้นแก่อารมณ์จิตจงนำกรรมฐานนี้มาพิจารณา โดยนำมาพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งจากกรรมฐาน ๑๑ อย่างนี้ ตามแต่ท่านจะชอบใจ  จิตใจท่านก็จะคลายความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ลงได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไรเลย ถ้าจิตข้องอยู่ในกามารมณ์เป็นปกติ ก็เอากรรมฐานนี้พิจารณาเป็นปกติ จนกว่าอารมณ์จะสงัดจากกามารมณ์  เห็นคนและสัตว์และสรรพวัตถุทั้งหลายที่เคยนิยมชมชอบว่าสวยสดงดงาม กลายเป็นของ น่าเกลียดโสโครกโดยกฎของธรรมดา จนเห็นว่าจิตใจไม่มั่วสุมสังคมกับความงามแล้วก็พิจารณาวิปัสสนาญาณโดยยกเอาขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเราโดย  เอาอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสสติกรรมฐานเป็นหลักชัยทำอย่างนี้ไม่นานเท่าใดก็จะเข้าถึงมรรคผล <br />นิพพาน การทำถูกไม่เสียเวลานานอย่างนี้ <br /><b> <br />๒. โทสจริต</b> <br />          คนมักโกรธ  หรือขณะนั้นเกิดมีอารมณ์โกรธพยาบาทเกิดขึ้นขวางอารมณ์ไม่สะดวกแก่ <br />การเจริญฌาน ท่านให้เอากรรมฐาน ๘ อย่าง คือ พรหมวิหาร ๔ และ วัณณกสิณ ๔ วัณณกสิณ ๔ ได้แก่  นีลกสิณ เพ่งสีเขียว โลหิตกสิณ  เพ่งสีแดง  ปีตกสิณ  เพ่งสีเหลือง  โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว   กรรมฐานทั้งแปดอย่างนี้  เป็นกรรมฐานระงับดับโทสะ ท่านจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสมแก่ท่าน คือตามแต่ท่านจะพอใจเอามาเพ่งและใคร่ครวญพิจารณา อารมณ์โทสะก็จะค่อยๆ คลายตัว <br />ระงับไป <br /><b> <br />๓. โมหะ และ วิตกจริต</b> <br />          อารมณ์ที่ตกอยู่ในอำนาจของความหลงและครุ่นคิดตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด ท่านให้เจริญอานาปานุสสติกรรมฐานอย่างเดียว  อารมณ์ความลุ่มหลงและความคิดฟุ้งซ่านจะสงบระงับไป <br /><b> <br />4. สัทธาจริต</b> <br />          ท่านที่เกิดสัทธาความเชื่อ เชื่อโดยปกติ หรืออารมณ์แห่งความเชื่อเริ่มเข้าสิงใจก็ตาม <br />ท่านให้เจริญกรรมฐาน ๖ อย่าง  คือ  อนุสสติ ๖ ประการ ดังต่อไปนี้ (๑) พุทธานุสสติกรรมฐาน (๒) ธัมมานุสสติกรรมฐาน  (๓) สังฆานุสสติกรรมฐาน  (๔) สีลานุสสติกรรมฐาน  (๕) จาคา- นุสสติกรรมฐาน  (๖) เทวตานุสสติกรรมฐาน  อนุสสติทั้ง ๖ อย่างนี้  จะทำให้จิตใจของท่านที่ดำรงสัทธาผ่องใส <br /><b> <br />๕. พุทธิจริต</b> <br />          คนเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันเหตุการณ์  และมีปฎิภาณไหวพริบดี  ท่านให้เจริญกรรมฐาน ๔ <br />อย่าง ดังต่อไปนี้ (๑) มรณานุสสติกรรมฐาน (๒) อุปสมานุสสติกรรมฐาน (๓) อาหาเรปฏิกูลสัญญา  (๔) จตุธาตุววัฏฐาน  รวม ๔ อย่างด้วยกัน  </p> <p align="justify"> <br />          กรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทั้ง ๖ ท่านจัดเป็นหมวดไว้ ๕ หมวด รวมกรรมฐานที่เหมาะแก่จริต โดยเฉพาะจริตนั้นๆ รวม ๓๐ อย่าง หรือในที่บางแห่งท่านเรียกว่า ๓๐ กอง กรรมฐาน ทั้งหมดด้วยกันมี ๔๐ กอง ที่เหลืออีก ๑๐ กอง คือ อรูป ๔ ภูตกสิณ ได้แก่ ปฐวีกสิณ  เตโชกสิณ วาโยกสิณ อาโปกสิณ  ๔ อย่างนี้เรียกภูตกสิณ  อาโลกสิณ  ๑  และอากาศกสิณอีก ๑  รวมเป็น ๑๐ พอดี  กรรมฐานทั้ง ๑๐ อย่างนี้  ท่านตรัสไว้เป็นกรรมฐานกลางเหมาะแก่จริตทุกอย่าง  รวมความว่าใครต้องการเจริญก็ได้เหมาะสมแก่คนทุกคน  แต่สำหรับอรูปนั้นถ้าใครต้องการเจริญ ท่านให้เจริญฌานในกสิณให้ได้ฌาน  ๔  เสียก่อน  แล้วจึงเจริญในอรูปได้  มิฉะนั้นถ้าเจริอรูปเลยทีเดียวจะไม่มีอะไรเป็นผล เพราะอรูปละเอียดเกินไปสำหรับนักฝึกสมาธิใหม่ </p> <p align="justify">ขอขอบคุณ : <a title="http://www.palungjit.com/smati/k40/jarit6.htm" href="http://www.palungjit.com/smati/k40/jarit6.htm">http://www.palungjit.com/smati/k40/jarit6.htm</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-70348452123772121362012-08-09T13:46:00.001+07:002012-08-09T14:20:19.999+07:00การเห็นสิ่งต่างๆในสมาธิ : สมเด็จพระพุฒาจารย์<p align="justify"><font color="#ffff00" face="Tahoma">สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) ยอดพระนักปฎิบัติธรรมชั้นสูงของประเทศไทย ได้ให้</font><font color="#008000" face="Tahoma"><font color="#ffff00">แนวทางอันเป็นหัวใจ แห่งการทำสมาธิ ไว้ในหนังสือป<b>ระชุมโอวาสฯ</b> ตอนหนึ่งว่า</font><font color="#3366ff"> </font><font face="Times New Roman"> <br /> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><b>ข้อสำคัญมีอยู่อย่างหนึ่ง อันเป็นหัวใจแก่การทำสมาธิ สิ่งนั้นประเภทแรกคือศีลที่จะ</b></font></font></font></font><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><font face="Tahoma"><font color="#ffff00"><b>ต้องปฏิบัติ"</b> เมื่อรักษาศีลให้ครบไม่ด่างพร้อยแล้ว การกระทำสมาธิย่อมสำเร็จได้โดยเร็ว <br /></font></font> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff">ศีลที่จะให้ปฏิบัติในขั้นแรกก็มีเพียง ๕ ประการเท่านั้น รักษาศีลทั้ง ๕ นี้ให้บริสุทธิ์คงอยู่เสมอ</font></font></font></font><font color="#ffff00" face="Tahoma">ไปแล้ว การทำสมาธิ ก็ไม่เป็นเรื่องยากเย็นอะไร ข้อสำคัญพึงจำไว้ว่า การที่จะรักษาศีลนั้น จะ</font><font color="#008000" face="Tahoma"><font color="#ffff00">มีวิธีการทำการละเว้นไม่ปฏิบัติในทางที่ผิดศีล และประพฤติปฏิบัติที่จะรักษาศีลด้วยเหตุ ๓ ประการ</font><font color="#3366ff"> </font> <br /> <br /><font color="#3366ff"><font face="Times New Roman"><b><font color="#ff80c0">ประการที่ ๑</font></b> เรียกว่า <b>เจตนาวิรัช </b>ได้แก่ตั้งเจตนาที่จะละเว้นการกระทำอันเป็นการผิดศีลของตัวเอง โดยไม่ต้องไปกล่าวคำให้ผู้อื่นฟัง </font></font></font><font color="#3366ff"><font face="Times New Roman"><font color="#008000"><font color="#ffff00">คือหมายความว่าโดยไม่ต้องมีการสมาทานศีลนั้น ให้ตั้งจิตเจตนาไว้ภายในอย่างมั่นคง ว่าจะรักษาศีลทั้ง ๕นี้ไว้ให้บริสุทธิ์</font> </font> <br /> <br /><font color="#3366ff"><b><font color="#ff80c0">ประการที่ ๒</font></b> เรียกว่า <b>สมาทานวิรัช </b>หมายความว่าการที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยวิธีที่กล่าวคำขอศีลจากพระภิกษุ เป็นต้น การขอศีลจากพระภิกษุนั้น </font></font></font> <br /><font color="#ffff00" face="Tahoma">เมื่อ ได้รับศีลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระภิกษุจะอนุโมทนาศีลและให้พร จงรับทั้งศีลและพรนั้น มิใช่ตั้งใจรับแต่พรแต่ศีลนั้นปล่อยไปหาประโยชน์อันมิได้ <br /></font><font color="#008000" face="Tahoma"><font color="#ffff00">เมื่อสมาทานศีลนั้นแล้วก็พึงประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามสิ่งที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะรักษาศีลนั้นให้บริสุทธิ์</font><font color="#3366ff"> </font> <br /> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><b><font color="#ff80c0">ประการที่ ๓</font></b> เรียกว่า <b>สมุทเฉทวิรัช </b>คือการละเว้นโดยสิ้นเชิง มิให้มีสิ่งใดเหลืออยู่อีก เป็นการกระทำขั้นสูงสุด พยายามที่จะกระทำจิตและกาย วาจาให้บริสุทธิ์อย่างสูง</font><font color="#ffff00"> </font></font></font><font color="#ffff00" face="Times New Roman">คือ เป็นสิ่งที่รักษากาย วาจาให้เป็นปกติอยู่ เมื่อกาย วาจาอันเป็นปกติแล้ว จิตย่อมเข้าสู่ความสงบอันเป็นปกติด้วย กิเลสพอกพูนอยู่ในดวงจิตก็ดี </font> <br /> <br /><font face="Tahoma"><font color="#008000"><b><font color="#3366ff">อาสวะคือเครื่องดองอันดวงจิต</font></b><font color="#3366ff"> ไ<b>ด้ตกลงไปหมักอยู่ก็ดี ย่อมจะลดน้อยถอยลง และเสื่อม</b></font></font><font color="#008000"><font color="#3366ff"><b>สูญไป</b> </font><b><font color="#3366ff">ทำให้ดวงจิตผ่องใสปราศจากธุลีเศร้าหมอง</font></b></font></font><font color="#3366ff"><font color="#ffff00" face="Tahoma"> เป็นจิตที่มีความรุ่งโรจน์ เป็นจิตที่เจริญด้วยการอบรมเนืองๆจากศีลนั้น <br /></font><font face="Times New Roman"> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff">การประพฤติปฏิบัติ ด้วยการตั้งจิตเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติในการผิดศีลทั้ง ๓ ประการที่กล่าวนี้ </font></font> <br /> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff">หากเกิดแก่ผู้ใดนั้นย่อมจะได้สมความมุ่งมาดปรารถนา ดังที่มีคำอนุโมทนาและอวยพร </font></font></font></font> <br /><b><font color="#ffff00" face="Tahoma">อิมินา ปัจสิกขาปทานิ สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา สีเลน นพพุติ ยันติ ตัสมา สีบัง วิโสธเย</font></b> <br /> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff">เมื่อจะแปลเป็นข้อความโดยย่อแล้วก็ย่อมจะกล่าวได้ว่า อันศีลทั้งหลายที่ได้ยึดถือและรักษาไว้</font></font></font></font><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><font color="#008000" face="Tahoma"><font color="#ffff00">นี้ ศีลย่อมจะรักษาผู้มีศีลให้มีความสุข ศีลย่อมจะอำนวยผู้มีศีลให้ประสบซึ่งความมั่งคั่งสมบูรณ์</font> </font> <br /> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff">ศีลนำจิตเข้าสู่ที่อันสงบคือพระนิพพานได้ดังนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ทำตนให้เป็นผู้มีศีลไว้ดังนี้</font></font></font></font><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><font color="#ffff00" face="Tahoma">เป็นต้น ศีลย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการที่จะทำจิตให้เกิดสมาธิ <br /></font> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff">ด้วย เหตุนี้ผู้ที่จะตั้งใจกระทำสมาธิจิต นอกจากจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ยังต้องประกอบไปด้วยพรหมวิหาร๔ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา </font></font></font></font> <br /><font color="#ffff00" face="Tahoma">ควร จะต้องแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ ญาติมิตร อริศัตรู บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพชนต้นตระกูล ครูบาอาจารย์ <br /></font><font color="#008000" face="Tahoma"><font color="#ffff00">ท่าน ผู้มีอุปการคุณ อารักขาเทวดา และทวยเทพเทวา พรหมมา เป็นต้น และอุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นต้น</font><font color="#3366ff"> </font> <br /> <br /> <br /><font face="Times New Roman"><font color="#3366ff"><b>การเห็นในสมาธิ หลังจากที่บำเพ็ญจิตให้บังเกิดสมาธิอันแน่วแน่แล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ได้ประทานข้อแนะนำไว้ว่า....</b> </font> <br /> <br /><font color="#3366ff"><font color="#ff0000"><b>การเห็นในสมาธิมี ๓ อย่าง </b></font></font> <br /> <br /><font color="#3366ff"><b><font color="#ff80ff">๑.การเห็นในสมาธิที่ตั้งใจหมายไว้อย่างหนึ่ง</font></b> ที่เกิดจากความปารถนาของจิตเอง อันนี้ไม่ถือว่าเป็นสมาธิ หากเป็น <b>อุปทาน</b> ต้องลบภาพที่เห็นเช่นนี้</font> <br /> <br /><font color="#3366ff"><b><font color="#ff80ff">๒.การเห็นอย่างที่๒ เป็นการเห็นเพื่อขอส่วนบุญ</font></b> หรือชักนำไปสู่ <b>ความกำหนัด</b> เกิดกามราคะ เพราะเหตุแห่งมารนำจิตไป</font></font></font><font color="#ffff00" face="Tahoma">หรือ มิฉะนั้นดวงวิญญาณทั้งหลายที่มีความทุกข์ต้องการมาติดต่อขอส่วนบุญ เพื่อบรรเทาความทุกข์เดือดร้อนอดอยาก การเห็นเช่นนี้เห็นโดยจิตมิได้ปารถนา </font><font color="#ffff00" face="Tahoma">มิ ได้ตั้งปณิธานหรืออุปทานอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เมื่อเกิดภาพนี้ขึ้นให้แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลแก่เขาไป อาจเป็นบรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร เป็นต้น <br /></font><font color="#3366ff"> <br /><font color="#3366ff"><font face="Times New Roman"><font color="#ff80ff"><b>๓.การเห็นในสมาธิอย่างที่ ๓</b> นั้น เป็นการเห็นโดยนิมิตอันประเสริฐ</font> เช่น เห็นพุทธนิมิต เทพนิมิต พรหมนิมิตทั้งหลาย เป็นต้น </font></font></font><font color="#3366ff"><font face="Times New Roman"><font color="#ffff00">การเห็นแสงสว่างทั้งปวงก็ดี การเห็นเช่นนี้เป็นเครื่องบอกว่า ได้เดินเข้าไปในทางที่จะสามารถติดต่อกับทิพย์วิญญาณทั้งหลายได้ <br /></font> <br /><font color="#3366ff">พึงพิจารณาแยกให้ออกว่าอันไหนเป็นนิมิต อันไหนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อขอส่วนบุญ อันไหนเป็นอุปทานที่เกิดจากความปารถนาของดวงจิต </font></font></font> <br /><b><font color="#ffff00" face="Tahoma">จง มีสติตั้งมั่นคุ้มครองดวงจิตโดยที่ไม่ต้องคิดหรือหวังจะให้เกิดนิมิต อันเป็นที่พึงปารถนาในทางที่จะชักนำดวงจิตเข้าไปสู่ทางอกุศลได้ต่อไป</font></b></p> <p>ขอขอบคุณ: <a title="http://board.palungjit.com/f132/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-333686.html" href="http://board.palungjit.com/f132/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-333686.html">http://board.palungjit.com/f132/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-333686.html</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-43607901220444092292012-08-09T12:47:00.001+07:002012-08-09T12:47:49.575+07:00ตรวจศีล (ศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่าง ศีลพร้อย)<p><b>ตรวจศีลข้อ1</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 1 ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาดจากโทสะ</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 1 เพื่อล้างโทสะ ละเบียดเบียน</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนาทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วง และแสดงออกซึ่งอาการโทสะทางกาย เช่น เตะหมา ตีแมว ต่อยคน ประทุษร้ายใครด้วยความโกรธ ฯลฯ (อริยกันตศีลเป็นศีลละเอียดกว่าศีลสามัญญตา) <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจาด้วยโทสะ หรือโกรธ เช่น สั่งฆ่า สั่งทำร้าย หรือพูดกระแทกแดกดัน ยั่วกันด้วยโทสะ ด้วยความไม่ชอบใจ หมั่นไส้ และวาจาใดอันอดมิได้ต่อโทสะภายใน <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจโกรธ อึดอัด ขัดเคือง อาฆาต พยาบาท ถือสาชิงชัง รังเกียจ ไม่ชอบใจหรือปรุงใจเป็นไปด้วยโทสะ (ยังครุ่นคิดแค้น คิดทำร้าย คิดทำไม่ดีไม่งามกับผู้อื่นอยู่) <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ มีใจเบื่อ ซึม เซ็ง ซังกะตาย ถดถอย ท้อแท้ ไม่ยินดี โลกนี้เป็นสีเทา (อรติ) <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี ไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายโทสะละเบียดเบียนนี้ ซึ่งจะรู้ชัดได้ดี เมื่อมีเมตตาสมาทานอย่างต่อเนื่อง <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ2</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 2 อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากโลภะ</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 2 เพื่อลดโลภะ ละตระหนี่ แม้ตน</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนาขโมย โกง ปล้นจี้ ตีชิง ฉกฉวย แม้ที่สุดหยิบของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจา เลียบเคียง ลวงเล็ม หลอกล่อ หรือพูดเพื่อให้ได้มาสมโลภ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ คิดอยากใคร่ของคนอื่น หรืออาศัยนิมิตสมมุติ เพื่อให้ได้มาเพื่อให้ได้อยู่โดยไม่สมคุณค่าฐานะแห่งนิมิตสมมุติ (รูปแบบ, ตำแหน่งแต่งตั้ง) นั้นๆ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ มีใจยินดีทรัพย์สินของโลก ของคนอื่น หรือมอบตนอยู่บนทางแห่งการได้มาสมโลภ <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี ไม่หลงใหลยินดีทรัพย์สินของโลก และสิ้นความผลักใส ชิงชังทั้งไร้ตระหนี่ตน เป็นคนขวนขวายใฝ่สร้างสรร ขยันชนิดทำงานฟรี ไม่มีเรียกร้องสนองตอบ หรือไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายโลภะละตระหนี่นี้ +++ (ฆราวาสครองเรือนจะพ้นศีลพร้อยได้ยากมาก แต่สามารถตรวจจับดับความยินดีในการได้มาได้...เมื่อต้องอยู่กับทรัพย์สินก็ ควรอยู่เหนือทรัพย์สิน) <br /> <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ3</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากราคะ</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 3 เพื่อลดราคะ ละกามารมณ์</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนามีสัมพันธ์ทางเพศ หรือโลมเล้าจับต้อง เสพสุขสัมผัสกับผู้มิใช่คู่ครองของตน แม้ในคนที่ไม่ได้แต่งงานกัน (การบริโภคกามตามสถานค้าประเวณีจัดเป็นความผิดขั้นนี้) <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจาจีบเกี้ยว พูดแซวเชิงราคะ กระซิกกระซี้ สัพยอก หยอกเย้า เร้าให้รักใคร่ พูดไปเพื่อผูกพัน หรือบำบัดบำเรออารมณ์ โดยกามราคะขับดัน ทั้งที่ผู้นั้นมิใช่คู่ครองของตน <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจคิดปรุงไปในสัมพันธ์ทางเพศ หรือมีอารมณ์แปรปรวนป่วนฝันฟุ้งบำรุงกาม และเรื่องราวคาวกามลามไหล อยู่ในใจกับใครอื่นซึ่งไม่ใช่คู่ครองของตน (นัยละเอียดต้องจบจิตคิดใคร่) <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ มีใจยินดีในกาม ความเป็นคู่กับผู้อื่น หรือยินดีพึงใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันชวนกำหนัดรัดรึงจากเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่คู่ครองของตน (นัยละเอียดจบสนิทจิตยินดีในกาม) <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี ไร้ความยินดีในกาม ไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายราคะ ละกามารมณ์นี้ (ต้องศีล 8 จึงมีสิทธิเป็นไท) <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ4</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 4 มุสาวาท เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากความเท็จ ความไม่แท้</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 4 เพื่อลดมุสา พัฒนาสัจจวาจา</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนากล่าวคำเท็จ โกหก หลอกลวง บิดเบือนไปจากความจริง หรือสัจจะ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจา ระบายโทสะ บำเรอโลภะ บำรุงราคะ เป็นคำหยาบ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีวาจาส่อไปในทางเสียด เสียดสีเชิงโทสะบ้าง เสียดสีเชิงโลภะบ้าง เสียดสีเชิงราคะบ้าง เสียดสีเชิงมานะทิฏฐิบ้าง เสียดสีเชิงมานะอัตตาบ้าง แม้จางบางเบา หรือพูดกบคนโน้นทีคนนี้ที เพื่อให้เกิดวิวาทบาดหมาง แยกก๊ก แบ่งเหล่า ก็จัดเข้าอยู่นัยนี้ เป็นวาจาส่อเสียด <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ มีวาจาเรื่อยเปื่อยเฉื่อยฉ่ำไป เพ้อไป พล่อยไป พล่ามไป จะโดยแรงเร้าจากโทสะที่จากบางเบา โลภะที่จางบางเบา ราคะที่จางบางเบา หรือมานะทิฏฐิที่จางบางเบา มานะอัตตาที่จางบางเบา ก็จัดเข้าอยู่นัยนี้ เป็นวาจาเพ้อเจ้อ <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี มีวาจาประชาสัมพันธ์ เป็นไปโดยสามารถของตนไร้อิทธิพลจากโทสะ โลภะ ราคะ มานะทิฏฐิ มานะอัตตามาครอบงำ หรือไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะเรื่องราว ลดมิจฉาสู่สัมมา หรือลดมุสา (วาจาอันเป็นเท็จจากสัจจะ) พัฒนาสัจจวาจา <br /> <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ5</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 5 สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากเสพติด ชีวิตมืดบอด</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 5 เพื่อลดโมหะ ละประมาท เพิ่มธาตุรู้หรือสติ</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนาเสพสิ่งเสพติดมัวเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการละเล่น เล่นการพนัน สังสรรกับคนชั่ว ปล่อยตัวเกียจคร้านอย่างตั้งใจ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจาชักชวน โน้มเหนี่ยวนำพาตน คนอื่น สู่อบายมุขหรือโน้มน้าวอบายมุขมาสู่ตน คนอื่น และกล่าววาจาพร่ำพิไรใฝ่ถึงซึ่งอบายมุข (ทั้ง6) <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจทะยานอยากในอบายมุข ปรุงใจถวิลไปในอบายมุข หรือเรื่องราวคราวก่อนตอนเสพอบายมุขลามไหลอยู่ในใจ เก็บสัญญาเก่าก่อนตอนเสพอบายมุขมาย้อนเสพ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ ยังมีใจยินดีในอบายมุข เห็นคนเสพอบายมุขยังยินดี มีใจริษยา มิได้เกิดปัญญา เห็นภัยในอบายมุขและการเสพอบายมุข <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี หมดความยินดี และสิ้นอารมณ์ชิงชังในอบายมุข หรือไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายมัวเมามือบอดนี้ <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ3 (สำหรับศีล8)</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 3 อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b>ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากราคะ</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 3 เพื่อลดราคะ ละกามารมณ์</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนามีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้อื่น หรือโลมเล้าจับต้อง เสพสุขสัมผัส แม้ที่สุดกับตนเองทางกาย หรือข่มเหงตนเองโดยกามราคะขับดัน <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจาจีบเกี้ยว พูดแซวเชิงราคะ กระซิกกระซี้ สัพยอก หยอกเย้า เร้าให้รักใคร่ พูดไปเพื่อการผูกพัน หรือพูดบำบัดบำเรออารมณ์ โดยกามราคะขับดัน <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจคิดปรุงไปในสัมพันธ์ทางเพศ มีอารมณ์อันแปรปรวนป่วนปั่น ฝันฟุ้งบำรุงกาม และเรื่องราวคาวกามลามไหลอยู่ในใจ หรือกามสัญญาเก่าก่อนนึกย้อนมาเสพ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ มีใจยินดีในกาม ความเป็นคู่ หรือยินดีพึงใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันชวนกำหนัดรัดรึง จากเพศตรงข้าม เพศเดียวกัน แม้ที่สุดตนเอง <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี ไร้ความยินดีในกาม ไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายราคะ ละกามารมณ์นี้ <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ6</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 6 วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากการบริโภคอันไม่ควรกาล</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 6 เพื่อลดหลงติดในอาหาร และรู้ประมาณการบริโภค</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนาบริโภคเกินหนึ่งมื้อด้วยความหลงติด สำหรับผู้ยังไม่เข้มแข็งสมาทานสองมื้อก็เจตนาบริโภคเกินสองมื้อ หรืออดมิได้ต่อความยั่วยวนชวนชิมของอาหาร <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจา เรียกร้อง เลียบเคียง หรือพูดเพื่อให้ได้มาสมตัณหาในอาหารอันตนชอบรับประทาน และพร่ำพิไรใฝ่ถึงซึ่งสิ่งอันตนชอบรับประทาน <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจคิดคำนึงหาอาหารอันตนชอบรับประทาน หรืออยากในรูป รส กลิ่น สัมผัสของอาหารอันยวนใจ และดึงสัญญาในรูป รส กลิ่น สัมผัสของอาหารจากกาลก่อนย้อนมาเสพ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ ยังมีใจยินดีในรูป รส กลิ่น สัมผัสของอาหาร ยามได้เห็น หรือได้มาสมอุปาทานยังปลาบปลื้มประโลมลิ้นยินดีพึงใจอยู่ <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี ไร้กำหนัดยินดี และสิ้นความผลักไสชิงชังใน รส หรือ ไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือ ขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการบริโภคนี้ <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ7</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 7 นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิลเปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากส่วยเสริมกามราคะ</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 7 เพื่อลดส่วยเสริมกามราคะ ละกำหนัดในกาย ธุลีเริงทั้งหลายและความเป็นเด็ก</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนา เต้น ร่ายระบำ รำฟ้อน หรือทำท่าทางยั่วให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ (นัจจะ) ขับร้อง เอื้อนเอ่ยบรรเลงเพลงยั่วให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ (คีตะ) ประโคมดนตรี เครื่องเสียง เครื่องเคาะ เครื่องสายต่างๆ ยั่วให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ (วาทิตะ) หาอ่าน หาดู หารู้ รับทราบสิ่งอันเป็นข้าศึกแก่ใจเร้าให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ (วิสูกะทัสสะนา) และเจตนาประดับตบแต่งด้วย ดอกไม้ พวงดอกไม้ (มาลา) กลิ่นหอมเครื่องหอมเครื่องสำอาง (คันธะ) หรือลูบไล้พอกทาแต้มเติม (วิเลปะนะ) หรือสวมใส่ทรงไว้ทรงจำ (ธาระณะ) หรือแต่งเสริมเติมแต้มด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ (มัณฑะนะ) ด้วยการประดับแต่งเสริมเติมแต้มที่ไม่สมควรไม่ใช่ฐานะอันควร (วิภูสะนัฏฐานา) ทั้งหมดจะเจตนายั่วคนอื่น หรือบำเรอตนก็จัดอยู่ในข้อศีลขาด <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจาชักชวน โน้มเหนี่ยวนำพาตน คนอื่น สู่การขับร้อง ประโคมดนตรีอันเป็นมหรสพ หรือเป็นข้าศึกแก่กุศล หรือชวนอ่าน ชวนดู รับรู้ รับทราบสิ่งอันเป็นข้าศึกแก่ใจ และโน้มน้าวกล่าวชวนแต่งเติมเสริมประดับด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องสำอางทั้งเครื่องประดับต่างๆ ที่ไม่สมควร ไม่สอดรับกับฐานะ หรือพร่ำพิไรใฝ่ถึงซึ่งสิ่งดังกล่าว <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจทะยานอยากในส่วยเสริมกามราคะ ปรุงใจถวิลไปในบันเทิงเริงรมย์ เชิงร่ำร้อง ประโคมดนตรี หรือสิ่งดู รับรู้อันเป็นข้าศึกแก่ใจ ทั้งเครื่องลูบไล้ ดอกไม้ของหอม เครื่องสำอางต่าง ๆ หรือประสบการณ์เก่าก่อนนึกย้อนมาเสพ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือยังมีใจยินดีในส่วยเสริมกามราคะ เห็นผู้อื่นเสพส่วยเสริมกามราคะ ยังยินดีบ้าง มีใจริษยาบ้าง มิได้เกิดปัญญาเห็นโทษภัยในส่วยเสริมกามราคะ และการเสพสิ่งดังกล่าว <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี หมดความยินดี และสิ้นความผลักไสชิงชังในการร้องรำ ประโคมดนตรี และการปรับปรุงระดับต่างๆ หรือไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะเรื่องส่วยเสริมกามราคะ หรือการบันเทิงเริงประดับนี้ (การทำท่าทางเพื่อให้ละหน่ายคลายจากราคะ โทสะ โมหะ เป็นมงคลอันอุดมไม่ใช่มหรสพ) <br /> <br /> <br /> <br /> <br /><b>ตรวจศีลข้อ8</b> <br /> <br /><b></b><font color="#0000ff"><b>ศีลข้อ 8 อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ</b></font> <br /><font color="#0000ff">ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาด จากความมักใหญ่</font> <br /><font color="#0000ff">เจตนารมณ์ศีลข้อ 8 เพื่อลดมานะ ละอัตตา (โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา)</font> <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลขาด </font> <br />คือ เจตนาเสพที่นอน ที่นั่ง บัลลังก์ ที่อยู่อาศัยใหญ่โตเขื่องหรู หรืออยู่และนั่งในยศตำแหน่งแห่งงาน การดำรงชีพอันเขื่องโข เพื่ออวดใหญ่อวดโต โดยเกิดจากใจอุจาด <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลทะลุ</font> <br />คือ เจตนากล่าววาจาชักชวนโน้มเหนี่ยวนำพาตน คนอื่น สู่การนั่ง การนอน การอยู่อันเขื่องหรู ใหญ่โต โดยใจมักใหญ่ หรือกล่าววาจายกตนข่มคนอื่น สำแดงความเป็นใหญ่ โอ่ประโลมอัตตายิ่ง ๆ ขึ้นไป พร่ำพิไรใฝ่ถึงซึ่งที่นั่งที่นอนที่อยู่อันหรูหราใหญ่โต และวาจาใดอันอดมิได้ต่อความมักใหญ่ภายใน <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลด่าง</font> <br />คือ มีใจทะยานอยากในความใหญ่ ปรุงใจถวิลไปในที่นั่ง ที่นอน ที่อยู่ ยศตำแหน่งแห่งปรารถนาอันใหญ่ (มโนมยอัตตา) และเรื่องราวคราวใหญ่ในกาลก่อน นึกย้อนมาเสพ <br /> <br /><font color="#ff0000">ศีลพร้อย</font> <br />คือ มีใจยินดีในความเป็นใหญ่ อยู่ใหญ่ของตน คนอื่น แม้เห็นคนอื่นเสพ หรือเป็นอยู่เป็นไปในความใหญ่ ทั้งนั่งใหญ่ นอนใหญ่ หรือยศตำแหน่งแห่งที่เขื่องหรู ยังมีใจยินดีที่ตนเป็นใหญ่ มีใจริษยาเมื่อคนอื่นใหญ่ มิได้เกิดปัญญารู้แก่นรู้กาก ของการเป็นอยู่เป็นไปในชีวิตที่พอเหมาะพอควร พอดีสมฐานะ รวมไปถึงอรูปอัตตาที่ยึดเป็นตะกอนนอนนิ่งในจิตทั้งปวง <br /> <br /><font color="#0000ff">เป็นไทโดยศีล </font> <br />คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี แม้พัฒนาตนได้ดียิ่งขึ้น เก่งยิ่ง เป็นเลิศยิ่ง ก็ไม่มีความหลงใหลในการเป็นอยู่ เป็นไป ในที่นั่ง ที่นอน ยศตำแหน่งแห่งการงาน การดำรงชีวิตหรือไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายอัตตามานะนี้ </p> <p> </p> <p align="center">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</p> <p><b><font size="6">ผลกรรมจากการผิดศีล 5 อย่างละเอียด</font></b> <br /> <br /> <br /><font color="#ff6600"><b>ผิดศีลข้อ 1 ( ฆ่าสัตว์,เบียดเบียนทำร้ายสัตว์,กักขังทรมาณสัตว์) ผลกรรมคือ</b></font> <br /><b>1.</b> มักมีปัญหาสุขภาพ ขี้โรค มีโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย รักษายุ่งยาก <br /><b>2.</b> มีอุบัติเหตุบ่อยๆ อาจมีอุปฆาตกรรม คือกรรมตัดรอน ทำให้ตายก่อนอายุขัย <br /><b>3.</b> อาจพิกลพิการ มีปัญหาร่างกายไม่สมส่วน ไม่สมประกอบ <br /><b>4.</b> กำพร้าพ่อแม่ คนใกล้ตัวโดนฆ่า <br /><b>5.</b>อายุสั้น ตายทรมาณ ตายแบบเดียวกับที่ไปฆ่าไปทรมาณสัตว์ไว้ <br /><b>6.</b> อัปลักษณ์ มีปมด้อยด้านสังขาร <br /> <br /><font color="#ff6600">แนะนำหนทางทุเลา</font> — ตั้งสัจจะว่าจะพยายามไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียน ไม่แกล้ง ไม่กักขัง ว่างๆก็ไถ่ชีวิตสัตว์ เช่นไปตลาดซื้อปลาที่เค้ากำลังจะขายให้คนไปทำกิน ให้เราซื้อไปปล่อยในเขตอภัยทาน (ท่าน้ำของวัด) หรือ ซื้อยาสมุนไพร ยาแผนปัจจุบันไปให้ถวายพระที่วัด หรือไปตามโรงพยาบาลทั้งของคนปกติและ ของสงฆ์เพื่อบริจาคค่ารักษา หรือรับอุปถัมภ์ค่ารักษาพยาบาล บริจาคเลือดและร่างกายให้สภากาชาดไทยหรือตามโรงพยาบาลต่างๆ และอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง <br /> <br /> <br /> <br /><font color="#ff6600"><b>ผิดศีลข้อที่ 2 (ลักทรัพย์ ขโมย ฉ้อโกง ยักยอก ทำลายทรัพย์) ผลกรรมคือ</b></font> <br /> <br /> <br /><b>1.</b> ธุรกิจไม่เจริญก้าวหน้า เจ๊ง ขาดทุน ฝืดเคือง โดนโกง <br /><b>2.</b> มีแต่อุบัติเหตุให้เสียทรัพย์สิน ต้องชดใช้ให้คนอื่นอย่างไร้เหตุผล <br /><b>3.</b> ทรัพย์หายบ่อยๆหลงลืมทรัพย์วางไว้ไม่เป็นที่ หาก็ไม่เจอ <br /><b>4.</b> มีคนมาผลาญทรัพย์เรื่อยๆทั้งคนใกล้ตัวและคนทั่วไป <br /><b>5.</b> ลูกหลานแย่งชิงมรดก โดนลักขโมยบ่อยๆ <br /><b>6.</b>ตระกูลอับจนไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่คนมาทำลายทรัพย์ <br /> <br /><font color="#ff6600">แนะนำหนทางทุเลา</font> — ตั้งสัจจะไม่ยุ่งกับทรัพย์สินของคนอื่น หากอยากได้ให้ขอเสียก่อน จนกว่าเจ้าของจะอนุญาตด้วยความเต็มใจ หมั่นทำบุญสังฆทาน บริจาคค่าน้ำค่าไฟวัด เพื่อที่ศาสนาจะได้ไม่ขาดแคลนปัจจัยส่งผลบุญให้เราไม่ขัดสน มอบทุนการศึกษาแด่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ผลบุญทำให้เรามีปัญญาที่จะหาทรัพย์ อย่างสุจริต รวม ทั้งต้องตั้งสัจจะที่จะมีสัมมาอาชีพไม่ฉ้อโกงใครแม้แต่สลึงเดียว และอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง <br /> <br /> <br /> <br /><font color="#ff6600"><b>ผิด ศีลข้อ 3 (ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกเมียเขา ล่วงเกินบุตรธิดาของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต แย่งคนรักของคนอื่น,กีดกันความรักคนอื่น,นอกใจคู่ครอง,หลอกลวง, ข่มขืน,ค้าประเวณี, ล่วงเกินทางเพศต่างๆ) ผลกรรมคือ</b></font> <br /><b>1.</b> หาคู่ครองไม่ได้ ,ไม่มีใครเอา, หน้าตาอัปลักษณ์ ,โดนเพศตรงข้ามล้อเลียนจนมีปมด้อย <br /><b>2.</b> เป็นหม้าย ,ผัวเมียตายจาก, ผัวหย่าเมียร้าง,คบใครก็มีเหตุให้หย่าร้างเลิกรา <br /><b>3.</b> คนรักนอกใจ ,คนรักมีชู้ ,มีเมียน้อย ,คบใครก็เจอแต่คนเจ้าชู้ ,โดนหลอกฟัน, ท้องไม่รับ, เสียตัวฟรี ,โดนข่มขืน <br /><b>4.</b> ไม่มีมิตรจริงใจ, เพื่อนฝูงไม่รัก, พี่น้องก็ไม่รัก ,พ่อแม่ทอดทิ้ง ,ชีวิต <br />ขาดความอบอุ่น, มีแฟนก็ไม่มีใครจริงจังด้วย,ครอบครัวไม่อบอุ่น <br /><b>5.</b>มีความผิดปกติทางเพศทางร่างกาย,ทางจิตใจ,ถูกกีดกันทางความรัก,สังคมไม่ยอมรับความรักของตน,มีความรักหลบๆซ่อนๆ <br /><b>6.</b> ต้องมีเหตุพลัดพรากจากคนรักและของรักอยู่เสมอ(ก่อนเวลาอันควร) <br /> <br /><font color="#ff6600">แนะนำหนทางทุเลา</font> — ตั้งสัจจะว่าจะไม่ทำผิดเรื่องทางเพศ ไม่ทำให้ใครรู้สึกผิดหวังเสียใจในเรื่องความรัก ไม่กีดกัน ไม่คิดแย่งหรือไปรักกับคนรักของใคร ไม่คิด <br />ทำร้ายความรู้สึกคนรัก ไม่ล่วงเกินบุตรธิดาของใครก่อนได้รับอนุญาต รักเดียวใจ <br />เดียว ไม่นอกใจไม่มีกิ๊ก พอใจในคู่ครองของตนเอง <br />หมั่นทำบุญถวายเทียนคู่ให้วัด ถวายธงคู่ประดับวัด ช่วยออกค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง หรือให้ธรรมะด้านความรักแก่คู่รักที่รู้จัก เอาใจใส่คู่ครองคนรัก เอาใจใส่พ่อแม่ของตนเอง หากรักพ่อแม่เอาใจใส่พ่อแม่อย่างดีจะได้รับผลบุญทำให้ความรักของเราสดใสไม่ เจ็บช้ำ หากทรมาณพ่อแม่ ทำอย่างไรกับพ่อแม่ไว้ ต่อไปชีวิตรักก็จะเลวร้ายพอๆกับความรู้สึกเสียใจของพ่อแม่ที่เราได้กระทำไว้ <br /> <br /> <br /> <br /><font color="#ff6600"><b>ผิด ศีลข้อ 4 (โกหก ปลิ้นปล้อน กลับคำ ไม่มีสัจจะ หลอกลวงผู้อื่น ใส่ร้ายผู้อื่น ยุแยงให้คนแตกกัน ใช้วาจาดูหมิ่น พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ ขี้โม้ นินทา ด่าทอ ด่าพ่อล้อแม่ ด่าและเถียงผู้มีพระคุณ ผิดสัญญา สาบานแล้วไม่ทำตาม ) ผลกรรมคือ</b></font> <br /><b>1.</b>ปากไม่สวย ฟันไม่สวย มีกลิ่นปาก มีปัญหาเรื่องปากเรื่องฟันอยู่เนืองนิจ <br /><b>2.</b>มีแต่คนพูดให้เสียหาย มีคนซุบซิบนินทาเรื่องของเรา มีคนคอยใส่ร้ายดูหมิ่นและส่อเสียดเราอยู่เสมอ <br /><b>3.</b>ไม่มีใครจริงใจด้วย มีแต่คนมาพูดจาหลอกลวง ผิดสัญญาต่อเรา <br /><b>4.</b>เกิดในสังคมที่พูดแต่คำหยาบคำส่อเสียดปลิ้นปล้อน นินทาอยู่เนืองนิจ เพียงตื่นมาก็พบเจอความไม่เป็นมงคล (สังคมที่ปากไม่เป็นมงคล) <br /><b>5.</b>หลงเชื่อคนอื่นได้ง่าย โดนหลอกได้ง่าย ไม่มีความระวังเวลาโดนโกหก <br /><b>6.</b>ไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเรา, เป็นคนที่พูดอะไรแล้วคนเมิน,พูดติดๆขัดๆ, นึกจะพูดอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ <br /> <br /><font color="#ff6600">แนะนำหนทางทุเลา</font> โดย” ตั้งสัจจะว่าจะไม่พลั้งปากโกหกหรือส่อเสียด นินทายุแยงใคร ไม่ด่าใคร พูดตามความเป็นจริงทุกอย่าง สิ่งใดควรพูดก็ควรพูด ไม่ควรพูดก็อดทนไว้ ไม่ด่าไม่เถียงไม่นินทาผู้มีพระคุณเช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ให้คำสัญญาใครไว้ต้องรักษา อย่าสาบานอะไรพร่ำเพรื่อ ว่างๆก็ออกค่าใช้จ่ายให้ค่าทำฟันแก่คนยากคนจนและอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและ ตามกำลัง หมั่นให้สัจธรรมความจริงแก่คนทั่วไป พูดแต่ธรรมะ สอนธรรมะอยู่เสมอ หมั่นพูดหรือเผยแพร่ธรรมะให้คนอื่นฟังบ่อยๆ ทำตัวให้มีธรรมะให้มีสัจจะ พูดอะไรก็ไม่ผิดคำพูดไม่กลับคำ ไม่หลอกลวงใคร คนจะเชื่อถือมากขึ้น <br /> <br /> <br /> <br /><font color="#ff6600"><b>ผิดศีลข้อ 5 (ดื่มของมึนเมา เสพยาเสพติด ให้ยาเสพติด ให้ของมึนเมา ขายของมึนเมา ขายยาเสพติด) ผลกรรมคือ</b></font> <br /><b>1.</b> สติปัญญาไม่ดี ขี้หลงขี้ลืม เรียนไม่เก่ง อ่านหนังสือไม่จำ อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ <br /><b>2.</b> เกิดในตระกูลที่โง่เขลา เต็มไปด้วยอบายมุข <br /><b>3.</b> หากกรรมหนักจะเกิดเป็นเอ๋อ ปัญญาอ่อน เป็นโรคทางปัญญา <br /><b>4.</b> ลูกหลานสำมะเลเทเมา มีลูกหลานติดยาเสพติด <br /><b>5.</b> เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่มีสติระวัง มีแต่ความประมาท <br /><b>6.</b> มักลุ่มหลงในสิ่งผิดได้ง่าย เป็นคนที่โดนมอมเมาให้หลงใหลในสิ่งผิดได้ง่าย (ขาดสติ) <br /> <br /><font color="#ff6600">แนะนำหนทางทุเลา</font> โดย” ตั้งสัจจะว่าจะไม่ดื่มของมึนเมาและยาเสพติดทุกชนิด ไม่จำหน่าย จ่ายแจกของมึนเมาและยาเสพติดทุกชนิด หมั่นทำธรรมทานวิทยาทานให้ปัญญาความรู้แก่คนทั่วไป และอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง</p> <p>ขอขอบคุณ:<a title="http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-341412.html" href="http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-341412.html">http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-341412.html</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-14891982507431468962012-08-09T12:16:00.001+07:002012-08-09T12:23:36.830+07:00บุพกรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<p align="justify">จากพุทธภาษิตนี้ พระพุฒโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาพระวินัย ได้นำมาเขียน สรุปไว้ในผลงานของท่านว่า <strong><font color="#80ff00">ขึ้นชื่อว่าผลกรรมแล้วไม่มีใคร สามารถห้ามได้</font></strong>  นั้นก็ หมายความว่า คนเราเมื่อทำอะไรลงไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ถึงคราวที่ความดีความชั่ว จะให้ผลนั้นย่อม ไม่มีใครห้ามได้ แม้พระพุทธเจ้า ของเราเองก็ทรงห้ามไม่ได้" <br />ความจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 32 (ขุททกนิกาย อปทาน) ซึ่งในพระไตร ปิฏกเล่มนี้ มีกล่าวไว้ว่า ...พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์กรรม เก่าที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน แล้วมาให้ผลใน ชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่พ้นไป จากผลของ กรรมเก่านั้นซึ่งนำมาสรุปกล่าวได้ดังนี้</p> <p align="justify"><strong><u><font color="#00ff00">กรรมเก่าอย่างแรก</font></u></strong> คือ แกล้งโคไม่ให้ดื่มน้ำ <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนเลี้ยงโค ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคแวะดื่มน้ำข้างทาง เกรงจะชักช้าจึงไล่แม่โคไม่ให้ดื่มน้ำ ด้วยการแกล้งเอาไม้กวนน้ำให้ขุ่น บาปกรรมในชาตินั้นส่งผลมาถึงชาิตินี้ แม้จะได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ส่ง ผลให้พระองค์กระหายน้ำแล้วไม่ได้เสวยสมปรารถนาทันที เมื่อคราวใกล้จะเสด็จ ดับขันธ ปรินิพพาน</p> <p align="justify"><strong><u><font color="#00ff00">กรรมเก่าอย่างที่สอง</font></u></strong> คือ กล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้ ในชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ" ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย) พระัปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง ตายจากชาิตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนตั้งครรภ์ ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ได้ทรงกล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวถองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมา ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนนางตั้งครรภ์อีกเช่นกัน</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมเก่าอย่างที่สาม</strong></font></u> คือ ฆ่าน้องชายต่างมารดา <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์เกรงว่าทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่าง มารดานั้นจึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขา แล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาิตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาิตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ว พระบาทจนห้อ พระโลหิต </p> <p align="justify"> <br /><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมเก่าอย่างที่สี่</strong></font></u> คือ จุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นเด็กแสนซน วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับเพื่อนเด็ก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังเดินมา จึงชวนกันจุดไฟดักทางเพื่อมิให้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้ ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมยังหลงเหลืออยู่ก็ ส่งผลให้พระองค์ถูกไฟไหม้ที่พระบาท</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมเก่าอย่างที่ห้า</strong></font></u> คือ ไสช้างจับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาิติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า มีพระปััจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้างให้จับ พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมเก่าอย่างที่หก</strong></font></u> คือ นำทหารออกศึก <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาิติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหารออกรบฆ่า ข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูผู้ดุร้ายมาฆ่า</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมเก่าอย่างที่เจ็ด</strong></font></u> คือ เห็นคนฆ่าปลาแล้วชอบใจ <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลา แล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์รู้สึกปวดพระ เศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะพระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร</p> <p align="justify"><strong><u><font color="#00ff00">กรรมอย่างที่แปด</font></u></strong> คือ ด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะ (พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี) และพูดแดกดันทำนองว่าให้ท่านเหล่านั้นได้ฉันแต่ข้าวชนิดเลว อย่าให้ได้ฉันข้าวดีๆอย่างข้าวสาลีเลย ตายจากชาิตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์เวรัญชาให้ไปจำพรรษาใน เมืองเวรัญชา ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงก็เกิดข้าวยากหมากแพง ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวชนิดเลว(ข้าวแดง)อยู่นานถึง 3 เดือน</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมอย่างที่เก้า</strong></font></u> คือ มีส่วนร่วมในการจัดมวยปล้ำ <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนจัดมวยปล้ำ มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วบาป กรรมยังส่งผลให้พระองค์มีโรคประจำตัวพระองค์คือ ปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมอย่างที่สิบ</strong></font></u> คือ เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยารับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ(โรคท้องร่วง) หลัีงจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน</p> <p align="justify"><u><font color="#00ff00"><strong>กรรมอย่างที่สิบเอ็ด</strong></font></u> คือ เยาะเย้ยพระพุทธเจ้า <br />พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นชายหนุ่มชื่อ "โชติปาละ" วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ (พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 26 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายบาลี) แล้วกราบทูลทำนองเย้ยหยันว่า ทำไมจึงได้ตรัสรู้ช้าต้องบำเพ็ญพียรอยู่นานกว่าจะตรัสรู้ได้ มาเกิดในชาตินี้ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ด้วยผลกรรมนั้นจึงส่งผลให้พระองค์หลงทางในการแสวงหาโมกธรรม จนต้องบำเพ็ญทุกรกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าจะตรัสรู้ได้ </p> <p align="justify"> <br /><em>ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือกรรมเก่าที่ไม่ดีของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสเล่าไว้อย่างเปิดเผย พระไตรปิฏกบอกว่าพระองค์ตรัสเล่า ให้พระสาวกจำนวนมากที่มาเฝ้าพระองค์ฟังขณะที่ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินแก้ว ในละแวกป่าใกล้สระอโนดาตเชิงป่าหิมพานต์ ณ ที่นั้นนอกจากจะได้ตรัสถึงกรรมเก่าที่ไม่ดีแล้วพระองค์ก็ทรง</em> </p> <p align="justify">ตรัสถึง<u><font color="#80ff00"><strong>กรรมเก่าที่ดีซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า</strong></font></u> ไว้ด้วย นั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระองค์ตรัสเล่าว่าในชาติหนึ่งในอดีตนั้นพระองค์เกิดเป็นคนยากจนเห็นพระสาวก ของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่า เป็นวัตรแล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่านพร้อม กันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า จากพระสาวกรูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระ พุทธเจ้าเป็นครั้งแรกการเริ่มต้นปรารถนา แต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าในชาตินี้</p> <p align="justify"><font color="#ffff00">เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลา ตราบที่ผู้ทำกรรมยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้วแต่ โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิต นี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้นยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี <br />พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วแต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็น ระยะกรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผล มาแล้วแต่ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผลเต็มในชาตินี้ เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหนพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์แล.</font></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:<a title="http://board.palungjit.com/f14/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-352965.html#post6507554" href="http://board.palungjit.com/f14/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-352965.html#post6507554">http://board.palungjit.com/f14/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-352965.html#post6507554</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-11069086923025876382012-07-23T09:59:00.001+07:002012-07-23T09:59:41.594+07:00ตำนานเกี่ยวกับผู้วิเศษ"พระฤาษีตาไฟ"<p align="justify"><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" border="0" alt="" src="http://www.google.co.th/url?source=imglanding&ct=img&q=http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=31049&sa=X&ei=JNbzT_vlGM3KrAejrZjhBg&ved=0CAkQ8wc&usg=AFQjCNEwlt05klLJATsIafk7oNPjJ30xdA" width="157" height="202" /> <br />       ตำนานเกี่ยวกับผู้วิเศษคือเรื่องราวหนึ่งในตำนาน ที่ถูกกล่าวขานอยู่ทั่วโลก อย่างในสุวรรณภูมิเรานั้นมีเรื่องราวผู้วิเศษหลายท่าน ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และพระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ รวมทั้งเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหลักโยคะศาสตร์ต่างๆ เช่น เล่นว่านยา เล่นแร่แปรธาตุ เล่นอาคม ก็สามารถเข้าถึงอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติได้ จากตำนานทั่วไปเราพบว่าอำนาจวิเศษทั้งหลายเหล่านั้นมักจะพบอยู่ในผู้ที่ออก บวช โดยเฉพาะเหล่าฤาษีทั้งหลาย ทั้งนี้ฤาษีคือพวกออกบวชพระพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด และเข้าถึงอำนาจแห่งพระเป็นเจ้า <br />โดยมากนั้นฤาษีมักนับถือพระเป็นเจ้าตามคติลัทธิพราหมณ์ คือ นับถือพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ การภาวนาของฤาษีอยู่ในหลักของการเล่นพลัง การเล่นกสิณ ดังนั้น ฤาษีจำนวนไม่น้อยจึงบรรลุ ถึงอำนาจที่เหนือธรรมชาติจากการปฏิบัติโยคะทางจิต อำนาจของฤาษีที่บรรลุฌานสมาบัตินั้น ได้แก่ อำนาจในการเดินบนผิวน้ำ การดำดิน การเหาะเหินเดินอากาศ การย่นระยะทาง การรู้วาระจิต การได้หูทิพย์ ตาทิพย์ และอำนาจจิตในการบังคับควบคุมธาตุทั้ง 4 ได้อย่างเด็ดขาด เหล่านี้คืออำนาจที่อยู่ในพระฤาษีที่ลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า <br />เรื่องราวของพระฤาษีตาไฟนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องลี้ลับเพราะนามพระฤาษีตาไฟนั้น ปรากฏมาเป็นเวลานานนับพันปีแล้ว ความลี้ลับของพระฤาษีตาไฟนั้นพอเทียบได้กับเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ยากจะสืบค้นความจริงได้ ในปัจจุบันจะเห็นว่าการสร้างรูปเคารพของพระฤาษีตาไฟนั้นมักปรากฏเป็นพระฤาษี ที่มีสามตา โดยมีตาที่สามกลางหน้าผาก ตามตำนานกล่าวไว้ว่าตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ลืมขึ้นมาเมื่อใดจะบังเกิดเป็นไฟประลัยกัลป์ ขึ้น เมื่อนั้น ลักษณะของตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่มีบุญและมีตบะฌานที่แก่กล้า ตามคติทางพราหณ์และพุทธนั้นกล่าวว่าบุคคลที่ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตมาหลายร้อย หลายพันชาติ เป็นอนันตชาตินั้น เมื่อบังเกิดขึ้นมาในภพชาติปัจจุบันจะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มี บุญเกิดขึ้นกับร่างกายหลายอย่าง และอย่างหนึ่งก็คือการมีอุณาโลมที่กลางหน้าผาก อุณาโลมกลางหน้าผากนี้กับภาวะตาที่สามเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งตาที่สามหรือดวงตาแห่งเทพเจ้าพระอิศวรหรือพระศิวะถือว่าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่ง ตามตำนานกล่าวว่าพระองค์ทรงมีสามตา โดยตาที่สามพระองค์นั้นอยู่กลางหน้าผากดุจเดียวกับพระฤาษีตาไฟ และเหมือนกันอีกประการหนึ่ง ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พระอิศวรทรงลืมพระเนตรขึ้น เมื่อนั้นย่อมบังเกิด ไฟประลัยกัลป์ขึ้นมา ความเหมือนกันโดยบังเอิญของตำนานพระอิศวรและพระฤาษีตาไฟ ที่พ้องกันเช่นนี้ทำให้เชื่อว่าท่านทั้งสองคือพระฤาษีตาไฟและพระอิศวรย่อมมี ความเกี่ยวพันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งและพอเชื่อได้ว่าพระฤาษีตาไฟแท้จริงแล้ว ก็คือภาคหนึ่งของพระศิวะหรือพระอิศวรเจ้านั้นเอง <br />       ในหมู่บรรดาฤาษีโยคีทั้งปวงแล้ว ต้องนับถือว่าพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด เพราะพระอิศวรหรือพระศิวะ นั้นแท้จริงแล้วคือบรมโยคีหรือมหาโยคี เป็นเทพฤาษีที่ทรงตบะสูงสุด ทั้งนี้ฤาษีทั้งหลายย่อมบูชาโดยตรงต่อองค์พระศิวะด้วยกันทั้งสิ้นและนับถือ กันว่า พระศิวะนี้ คือพระเป็นเจ้า พระศิวะคือต้นตอแห่งฤาษีทั้งหลาย การบำเพ็ญทั้งหลายของฤาษี โยคีย่อมมุ่งตรงต่อพระศิวะทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีตรีเนตร และพระฤาษีอิศวร ซึ่งแท้จริงก็คือท่านเดียวกัน ย่อมมีฐานะเป็นฤาษีสูงสุดเป็นเจ้าแห่งฤาษีทั้งปวง และย่อมเป็นประธานแห่งฤาษีทั้งหลายด้วย ความหมายแห่งตาที่สาม หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องเกี่ยวกับพระฤาษีตาไฟ คือ เรื่องตาที่สามของพระคุณเจ้าฤาษีตาไฟ เพราะตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนั้น นับเป็นจุดศูนย์รวมพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ จุดตาที่สามนี้หากเราทำ การค้นคว้าสอบถามครูบาอาจารย์และนักพลังจิตจะพบว่า เป็นจุดกึ่งกลางหน้าผากของคนเรานั้นเป็นจุดศูนย์รวมพลังงานลี้ลับ ทางโยคะศาสตร์เรียกตรงนี้ว่า “อาชญะจักรา” หรือตาที่สาม เป็นจุดที่สามารถปลดปล่อยพลังงานทางจิตในระดับสูง และกล่าวว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถพัฒนาจุดศูนย์รวมพลังงานตำแหน่งนี้ (จักรา) จะเกิดอำนาจทางทิพยจักษุญาณและหากกล่าวถึงการฝึกเพื่อเปิดตาที่สามตามแนวทางโยคีทางฮินดูแล้ว จะกล่าวถึงวิชาโยคะศาสตร์อันเร้นลับที่เชื่อว่าภายในตัวเรานั้นมีเส้น พลังงานบางอย่างภายในตัว และนอกจากนี้ยังมีศูนย์รวมพลังงานอยู่ทั้งหมดถึง 7 จุดด้วยกัน บริเวณตำแหน่งตาที่สามคือจุดที่หก เรียกว่า จักราที่หก หรือที่เรียกว่าอาชญะจักรนี่เอง การเปิดจักรานี้จะทำได้ก็ด้วย การเดินพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ภายในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า “พลังกุณฑาลินี” พลังงาน ชนิดนี้จะขดตัวอยู่ ณ บริเวณก้นกบ โยคีต้องทำการเข้าสมาธิเพื่อปลุกพลังงานดังกล่าวให้ตื่นขึ้น อย่างเหมาะสม การปลุกพลังกุณฑาลินีในตำราโบราณกล่าวว่า เป็นสิ่งที่อันตราย หากทำโดยไม่มีผู้รู้แนะนำแล้วพลังดังกล่าวเมื่อเคลื่อนตัวขึ้นมาสู่บริเวณ หน้าผากหรือตำแหน่งตาที่สาม จะก่อให้เกิดการเปิดจักรานี้เป็นผลให้บุคคลผู้ นั้นมีภาวะเห็นสิ่งต่างๆ ที่ดวงตาของคนทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ เช่น การมองเห็นออร่าหรือรัศมีของร่างกายของคนเรา การทำนายโดยใช้กระแสจิต เป็นต้น <br />ซึ่ง พลังนี้ยังรวมไปถึงการปลดปล่อยพลังจิตเพื่อทำการโทรจิตก็ได้ และหากบุคคลผู้นั้นผ่านการฝึกฝนกสินมาด้วยแล้วย่อมสามารถปลดปล่อยพลังออกมา จากตาที่สามทำให้ เกิดไฟขึ้นได้เรียกว่าเพ่งไปที่ใดก็เกิดไฟลุกขึ้นที่นั่นเป็นดั่งพระฤาษีตา ไฟนั่นเอง <br />ในคำไหว้ครู มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทย อยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤาษีนารอด ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ <br />ฤาษีทั้งสามนี้คนระดับชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ ที่ว่า จารึกไว้ในลานเงินก็ได้กล่าวถึงฤาษีตาวัว (งัว) และฤาษีตาไฟไว้เหมือนกัน ดังความว่า <br />ตำบล เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤาษี ๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตน ตนหนึ่งฤาษีพิลาไลย์ ตนหนึ่งฤาษีตาไฟ ตนหนึ่งฤาษีตาวัว เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะ เอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ ฉะนี้ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย <br />สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา พระฤาษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่าน ทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ ๑๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤาษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤาษีทั้ง ๓ องค์นั้น จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤาษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤาษีที่ทำไว้นั้นเถิดดังนี้แสดงว่า แต่กาลก่อนทางภาคพื้นประเทศไทยเราก็มีฤาษีอยู่มาก โดยเฉพาะ ฤาษีตาวัว กับ ฤาษีตาไฟ ติดปากคนมากกว่าฤาษีอื่นๆ และประวัติก็มีมากกว่า เท่าที่ทราบพอจะรวบรวมได้ดังต่อไปนี้ <br />         ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นพระสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จน สามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง เห็นเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังเดิม แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤาษี จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัว มาตั้งแต่บัดนั้น ส่วน ฤาษีตาไฟ กับฤาษีตาวัวนั้น ฤาษีทั้งสองนี้เป็นเพื่อนเกลอกัน และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ ท่านออกจะรักใคร่กันมาก มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าเรื่องให้ศิษย์ฟังว่า ในถ้ำมีบ่อน้ำอยู่สองบ่อ แต่ละบ่อมีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครลงไปแช่ก็จะตายเหลือแต่โครงกระดูก และถ้านำโครงกระดูกลงแช่ในอีกบ่อน้ำหนึ่งก็จะฟื้นขึ้นมา อีกบ่อน้ำนี้เหมือนชุบชีวิตได้ ศิษย์ ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ฤาษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ต้องเอาร่างหรือโครงกระดูกของตนลงแช่ในอีกบ่อหนึ่ง เพื่อคืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ ฤาษีตาไฟจึงลงแช่ในบ่อน้ำนั้นให้ดู ฤาษีก็ตายเหลือแต่โครงกระดูก ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีกลับเมืองไปเสีย และคิดว่าเมื่อสิ้นอาจารย์ไปแล้ว ตนย่อมเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ไม่มีใครทำอะไรตนได้ ไม่ต้องหวาดกลัวหรือเกรงใจผู้ใดอีกต่อไป <br />        กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักเอ๊ใจสงสัย จึงออกจากกุฎีมาตามหาที่ถ้ำ เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำนั้น ก็เห็นซากโครงกระดูกอยู่ภายในบ่อ จึงคิดว่าเป็นซากโครงกระดูกของฤาษีตาไฟเป็นแน่ <br />ฤาษีตาวัวจึงนำโครงกระดูกลงไปแช่อีกบ่อน้ำนึง ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟัง และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมืองให้ได้ <br />ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงขนาดนั้นเลย ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม แล้วปล่อยวัวอาคม ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้ <br />พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่ง ให้เปิดประตูเมือง วัวอาคมคอยทีอยู่แล้วก็วิ่งปราดเข้าเมือง ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลาย ผู้คนพลเมืองตายหมด รวมทั้งศิษย์ลูกเจ้าเมืองด้วย เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น <br />ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้น คืนชีพขึ้นมานี่เองกระมัง ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟ ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า "ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา"</p> <p>ขอขอบคุณ: <a title="http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F-347265.html" href="http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F-347265.html">http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F-347265.html</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-16847948444556849482012-07-15T13:35:00.001+07:002012-07-15T14:38:06.065+07:00หลังคาเรือนเครื่องไม้ กระเบื้องเชิงชาย” ศิลปะแลลวดลาย ที่หายไปจากปราสาทหิน<p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-NDzPArQVcIw-sTGQb72_gvhdaZTY3qvVQ153HvD53VlC8itg5NCss4ql67x8cGVEnOZh-pbastL4IdYbo87YavQdwEsFmWFQ86w_Fcjbxk7tAQskr1sWqItha2-MvVTOLy0RoyWiLBC5/s1600-h/image%25255B3%25255D.png"><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" title="image" alt="image" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYVJl4VMmwiOOgA0FGVO_nOkSeVRvHeySTgzBm0J72UBW1kcbHUemcm6RFau87O12P7PB0xM9Lyl39kcywmtrXUi-_xTYwuzuGunFT2FasrDttmrH7_UcAhWDqLvPJwRP711c57UltcieG/?imgmax=800" width="240" height="132" /></a> </p> <p align="justify"></p> <p align="justify"><strong>ในวันนี้</strong> จะเป็นเรื่องราวที่ติดพันนัวเนียมาจาก Entry ที่แล้ว ที่เป็นเรื่องราวของ <strong>“เครื่องเคลือบดินเผาและเตาโบราณ” </strong><strong>(Angkorian Ceramics – Earthenware & Kiln Sites)</strong> ครับ</p> <p align="justify">         ที่ต้องต่อเนื่องก็เพราะว่า บางสิ่งที่พบในแหล่งเตาเผามันไม่ได้มี <strong>“ความน่าสนใจ”</strong> เพียงแค่ภาชนะเครื่องเคลือบ เครื่องใช้ เครื่องถ้วย ภาชนะรูปสัตว์ เครื่องประดับหรือเครื่องประกอบพิธีกรรม แต่เพียงเท่านั้นครับ</p> <p align="justify">         แต่มันมี <strong>“บางสิ่ง”</strong> ถูกขุดพร้อมกันพบภายในแหล่งเตาที่ถูกขุดค้น (ทางโบราณคดี – มีการเก็บข้อมูล หลักฐานอย่างเป็นระบบ) หรือพบจากแหล่งเตาที่ไม่ได้ผ่านการขุดค้น (แต่ถูกขโมยขุดหาวัตถุโบราณ) นั่นก็คือ <strong>“กระเบื้องดินเผาความร้อนสูง” (</strong><strong>Higher-Temperature ceramics Tiles</strong><strong>)</strong> ที่นำมาใช้ประโยชน์เป็น <strong>“ส่วนประกอบของอาคารสถาปัตยกรรม”</strong><strong> (Architectural Stoneware</strong><strong>)</strong> ประกอบเข้ากับ<strong> “โครงสร้างที่ใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก” ( </strong><strong>Wooden Structure Building)</strong> ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น <strong>”เครื่องกระเบื้องมุงหลังคา”  (</strong><strong>Roofing Tiles) </strong>ที่ใช้มุงหลังคาของ <strong>"อาคารเรือนเครื่องไม้" (</strong><strong>Wooden Building)</strong> ไงครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920551.jpg" /></p> <p align="justify"><strong>เครื่องปั้น เครื่องเคลือบดินเผาแบบต่าง ๆ </strong>ที่ใช้ประโยชน์เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างหลังคาเรือนเครื่องไม้มีทั้ง กระเบื้องตัวผู้(กาบกล้วย) บราลี กระเบื้องเชิงชายรูปยักษ์ ทวารบาล นาค ครุฑยุดนาค กลีบบัวและลายใบไม้</p> <p align="justify">จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">         จากการพบเครื่องกระเบื้องมุงหลังคาที่เป็นทั้งเครื่องเคลือบ (Glazed) และ ไม่เคลือบ – เนื้อแกร่ง (Unglazed – Earthenware) ที่พบจากแหล่งเตาเผาและแหล่งที่ตั้ง (Monument sites) ของปราสาทหินน้อยใหญ่ เป็นร่องรอยหลักฐานสำคัญที่แสดงการมี <strong>”ตัวตน”</strong> ของ<strong> “โครงสร้างหลังคาเครื่องไม้”</strong> ทั้งที่เป็นหลังคาของระเบียงปราสาทหิน หลังคาของอาคารไม้ ศาลา พลับพลา ปราสาทราชวัง ที่เคยมีอยู่ในอดีต</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71922f4e.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องดินเผาตัวผู้(กาบกล้วย) ตัวเมียและกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว</p> <p align="justify">ที่ขุดพบจาก<strong>แหล่งเตาตานี (Tani Kiln Sites)</strong> ประเทศกัมพูชา</p> <p align="justify">นำมาเรียงประกอบกัน ตามแบบที่ใช้มุงบนโครงไม้หลังคา</p> <p align="justify">         วันนี้ผมก็เลยต้องขออนุญาตท่านผู้อ่าน มาติดตามเรื่องราวของกระเบื้องดินเผาทั้งที่เคลือบ และไม่เคลือบ เรื่องราวของเครื่องไม้ประกอบปราสาท โครงสร้างหลังคาเรือนไม้และกระเบื้องเชิงชาย ที่เคยมีอยู่บนหลังคาของทุกระเบียงทางเดินของปราสาทหิน และอาคารเรือนไม้ทั้งหลังในวัฒนธรรมแบบเขมรโบราณ จากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันครับ</p> <p align="justify"><strong>         ถึงในทุกวันนี้</strong> หลังคาเครื่องไม้ เครื่องไม้และกระเบื้องดินเผามากมาย จะได้ <strong>“สลาย”</strong> หายสาบสูญไปจนเกือบหมดแล้ว แต่เรื่องราวที่ผมจะทำให้ท่านหลับในตอนต่อไปนี้ จะเป็น<strong> “จินตนาการ”</strong> ที่เกิดขึ้นจากร่องรอย <strong>“หลักฐาน”</strong>ข้อมูล<strong>” การศึกษา” </strong>และการ <strong>“อนุมาน”</strong> ตามใจ ตามอารมณ์ของตัวผู้เขียน (ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง) ที่จะนำพาท่านย้อนกลับไปคลี่คลายปริศนาของ<strong> “สิ่งที่หายไป”</strong>จากอดีต ให้กลับคืนมาในโลกปัจจุบัน ไปพร้อม ๆ ...กันนะครับ</p> <p align="justify"><strong>คลายปริศนา ....เครื่องไม้ที่หายไป.....?</strong></p> <p align="justify">         ก่อนจะเขียนถึงเรื่องราวของ <strong>“เครื่องไม้ที่หายไป”</strong> จากปราสาทหินโบราณ เรามาดูสิ่งที่ <strong>“ยังคงเหลือ”</strong> อยู่ในปัจจุบันกันก่อนดีกว่าไหมครับ</p> <p align="justify"><strong>         ท่านที่ชื่นชอบการเดินทาง</strong> โดยเฉพาะการเดินทางไปท่องเที่ยว ค้นหา<strong>“อดีต”</strong> แห่งโบราณสถาน โดยเฉพาะที่เป็น <strong>“ปราสาทหิน”</strong> ในวัฒนธรรมแบบเขมร – ขะแมร์ (หรืออาจเรียกว่า กัมโพศ – กัมพุชเทศ – ชื่อสันสกฤตเก่าตามแคว้นหนึ่งในคันธาราษฏร์ – กัมพู + ชา แปลว่า ผู้สืบวงศ์วานมาจากชาวกัมพุช)ที่มีอยู่เกือบ 200 แห่ง ทั่วเมืองไทย กว่า 45 แห่งในลาว ประมาณกว่า 20 แห่งในเวียดนาม และอาจมากกว่า 1,500 แห่ง ในประเทศกัมพูชา (ข้อมูลจาก CISARK : Carte Interactive des Sites Archéologiques Khmers) ก็อาจจะเคยได้พบเห็น<strong>”ร่องรอยบางอย่าง”</strong> ที่อาจนำทางไปสู่คำตอบ...กับสิ่งที่หายไปกันมาบ้างแล้ว ....แต่ท่านก็อาจยังไม่แน่ใจนัก</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71923c9d.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรู"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">ที่อาคารระเบียงด้านหน้าของ<strong>ปราสาทธม เมืองเกาะแกร์</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192d9a2.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรู"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">รอยบากหินและการตกแต่งพื้นหินให้สอดรับกับหน้าจั่วไม้</p> <p align="justify">ที่อาคารพลับพลา (หอคัมภีร์หรือบรรณาลัย) ของ<strong>ปราสาทวัดพู </strong>เมืองจำปาศักดิ์ ประเทศลาว</p> <p align="justify">         เขยิบเข้าใกล้ไปอีก ร่องรอยบางอย่างที่พบ ก็คือ “<strong>ช่องรู” (</strong><strong>Holes)</strong> ที่เจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยม วางตัวเป็นแนวสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ตรงส่วนด้านหลังของหน้าบัน (บางทีก็ไปปรากฏอยู่ด้านหน้า – คือแบบว่าอาจมีการต่ออาคารไม้เชื่อมต่อด้านหน้าออกไปอีกหลังหนึ่ง) และอาจจะเห็น ร่องรอยของการ <strong>“บากหิน”</strong> เป็นแนวเฉียงลงมาตามรู – ช่องใส่คานไม้บนเนื้อหิน เป็นแนวบากหินเพื่อใช้รองรับคานไม้ที่เรียกว่า <strong>“จันทัน”</strong> ของ <strong>“โครงสร้างหลังคาเครื่องไม้”</strong> (Wooden Roofing Structure) ที่เคยมี เคยใช้บังแดดบังฝนอยู่ในสมัยที่ปราสาทหลังงามนั้นยังใช้ประโยชน์ตามลัทธิความเชื่อที่มีอยู่ในอดีตไงละครับ</p> <p align="justify"><strong>         และหากสังเกตให้ดี</strong> เหนือร่องบากรูปทรงหน้าจั่วบนหลังหน้าบันหลายแห่ง ก็ยังมีร่องรอยของการแกะสลักลวดลายใบระกา เป็นพวยพุ่งขึ้นไป ประกบตรงกับพวยใบระกาสลักจากเนื้อไม้ที่เคยมีอยู่เหนือปลายหลังคาอีกด้วย</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71927e0c.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรู"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว.</p> <p align="justify">รอยบากหินและการตกแต่งพื้นหินของหน้าบันให้สอดรับกับลวดลายของหน้าจั่วไม้</p> <p align="justify">ที่โคปุระชั้นที่ 2<strong> ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719257f1.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรู"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">รอยบากหินและการตกแต่งพื้นหินของหน้าบันให้สอดรับกับลวดลายของหน้าจั่วไม้</p> <p align="justify">ที่โคปุระชั้นด้านหน้า <strong>ปราสาทเมืองต่ำ</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify">         ร่องรอยของ <strong>“ช่องรู”</strong> ที่เจาะเป็นแนว ใช้สำหรับการสอด <strong>”คานไม้ (อะเส)”</strong> เข้าไป คานไม้หรือคานอะเสเป็นส่วนประกอบหลักที่ใช้รองรับน้ำหนักของโครงสร้างหลังคาที่ทำจากไม้ คานไม้อะเสส่วนล่างจะตั้งอยู่บนยอดของผนัง (กำแพง) หินทรายหรือเสาหินทราย รองรับโครงสร้างด้านบนอีกทีหนึ่ง</p> <p align="justify">          รูสำหรับเข้าขื่อไม้ ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ผมเห็นตามปราสาทหิน ก็คงจะเป็นรูบนหน้าบันรูปทรงหน้าจั่วสามเหลี่ยมปลายมกร (มะกะระ)ม้วน ที่<strong>เมืองโบราณ “โฉกครรคยาร์”</strong> หรือ <strong>“เกาะแกร์”</strong> อายุการก่อนสร้างอยู่ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a21f.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรู"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">รอยบากหินและการตกแต่งพื้นหินของหน้าบันให้สอดรับกับโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify">ที่โคปุระด้านหน้า <strong>ปราสาทกระจับ เมืองเกาะแกร์</strong></p> <p align="justify"><strong>         จากที่นี่</strong> อย่างน้อย ก็แสดงให้เห็นว่า การสร้างหลังคาด้วยเครื่องไม้มุงกระเบื้องลอน น่าจะมีอายุเก่าแก่กว่า การมุงหลังคาด้วยหินทราย อิฐ ศิลาแลง ที่นิยมสร้างกันในยุคต่อมาครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192ee50.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรู"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">บนหน้าบัน<strong>ปราสาทเคราโก (Krol Ko)</strong></p> <p align="justify">เป็นรูปแบบของการเชื่อมอาคารเรือนเครื่องไม้เข้าทางด้านหน้าของอาคารปราสาทหิน</p> <p align="justify">         นอกจากร่องรอยของ <strong>“รูปริศนา”</strong> ที่ทำให้เรารู้ว่า เคยมี <strong>“หลังคา” (โครงสร้างไม้ – กระเบื้องมุง ตกแต่ง)</strong> ประกอบอยู่บนผนังหิน (ผนังกำแพงทึบ) หรือใช้เสาหิน (หินทราย ,ศิลาแลง ตกแต่งสลักลวดลายทั้งตีนและหัวเสา) และบางอาคารก็ใช้ <strong>“คานหินสลัก”</strong> วางพาดบนเสาหินแทนคานอะเสชั้นล่างสุด รองรับโครงสร้างหลังคาไม้อีกทีหนึ่งแล้ว ก็ยังปรากฏร่องรอยของ <strong>“ฐานอาคาร”</strong>ที่ว่างเปล่า ที่ด้านบนของฐานเคยถูกสร้างเป็น <strong>“อาคารเรือนเครื่องไม้” (ทั้งหลัง)</strong> ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งศาลาหน้าจั่ว ศาลา โรงเรือน ระเบียงคด พลับพลา พลับพลาจัตุรมุข อาคารทางศาสนา พระที่นั่ง ที่ประทับ ฯลฯ ที่มีหลักฐานการใช้<strong>“เสาไม้ขนาดใหญ่” (</strong><strong>Wood Poles)</strong> เป็นส่วนประกอบรองรับโครงสร้างหลังคา</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719215a7.jpg" /></p> <p align="justify">รูปจำลองของอาคารเรือนเครื่องไม้ที่ตั้งอยู่บนฐานที่มีการบุหินด้านข้าง</p> <p align="justify">และชื่อเรียกส่วนประกอบต่าง ๆ ของโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify">         ร่องรอย <strong>“รู”</strong> ของเสาไม้ ค้ำยันเรือนเครื่องไม้ทั้งหลัง ปรากฏหลักฐานอยู่มากมายหลายแห่งครับ แต่ส่วนมากก็มักจะถูกทำลายไปพร้อม ๆ กับโครงสร้างไม้ส่วนอื่น ๆ จากสาเหตุของ ไฟป่า (หน้าแล้ง ขาดข้าวัดกัลปนาดูแล ต้นไม้เข้ามายึดครอง พอเกิดไฟป่า เครื่องไม้ก็ไหม้ไปพร้อม ๆ กับต้นไม้แห้ง) การสงคราม (เผาทำลาย ใช้เป็นเชื้อเพลิง) การผุกร่อนจากการรกร้าง (ไม้ผุ ผสมกับไฟป่าและการพังทลาย) การรื้อถอนทำลายอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ ( ทำลายโดยกลุ่มคนรุ่นต่าง ๆ ที่ไม่ใช้ประโยชน์อาคารนั้นแล้ว หรือนำไม้จากศาสนสถานรกร้างไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นในชีวิตประจำวันแทน) และจากอีกหลายสาเหตุ (เช่นโดนนักขุดของเก่าเผาทำฟืนผิงไฟหน้าหนาว)</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925c4e.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"รูเสา"</strong> บนฐานดินอัญบุขอบนอกด้วยศิลาแลง</p> <p align="justify">ฐานอาคารพลับพลาไม้รูปทรงกากบาท <strong>ปราสาทบ้านเบ็ญ</strong> จังหวัดอุบลราชธานี</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924f42.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยการคว้านฐานหินทราย บริเวณโคปุระด้านทิศตะวันออก</p> <p align="justify">เพื่อใช้เป็น <strong>"รูเสาไม้"</strong> รองรับอาคารพลับพลาเรื่อนเครื่องไม้ขนาดใหญ่</p> <p align="justify">ที่เคยมีอยู่ภายในระเบียงคดชั้นในสุดของ <strong>ปราสาทหินพิมาย</strong></p> <p align="justify">         เสาของเรือนโครงสร้างไม้ในยุคโบราณจึงไม่ค่อยเหลือรอดมาให้เห็นในยุคปัจจุบันมากนัก แต่เท่าที่เหลืออยู่ก็พอที่จะสามารถปะติดปะต่อ เรื่องราวของอาคารเรือนไม้ในยุคโบราณได้อย่างชัดเจน คือซากของเสาไม้ที่เหลืออยู่ที่ <strong>“ปราสาทกู่น้อย” (</strong><strong>Ku Noi Pr.)</strong> จังหวัดมหาสารคาม เป็นหลักฐานอันดีที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตที่โคปุระทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของกลุ่มอาคารปราสาทหินอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 นี้ เคยมีการการสร้างโคปุระ (โคปุรัม (ภาษาสันสกฤต) - ซุ้มประตู) แผนผังกากบาท (จัตุรมุขที่มีปีกข้างยาวกว่า) เป็นอาคารเครื่องไม้ แทนการสร้างโคปุระในรูปแบบของปราสาทก่อหินแบบที่พบเห็นได้โดยทั่วไปครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192958b.jpg" /></p> <p align="justify">ซากจำลองของ <strong>"เสาไม้"</strong> ที่พบในการขุดค้นทางโบราณคดี</p> <p align="justify">บริเวณโคปุระด้านทิศตะวันออกและตะวันตก</p> <p align="justify">ของ<strong>ปราสาทกู่น้อย</strong> จังหวัดมหาสารคาม</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719290ba.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักลอยตัวของ<strong>ทวารบาล"นนทิเกศวร"</strong></p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทกู่น้อย </strong>จังหวัดมหาสารคาม</p> <p align="justify">จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น</p> <p align="justify">         จากร่องรอยหลักฐานทั้งรูคาน (อะเส) และรูเสาที่ฐานอาคาร บอกให้เรารู้ว่า อาคารเครื่องไม้ในยุคโบราณ อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ <strong>“แบบโครงสร้างหลังคาไม้ประกอบปราสาทหิน”</strong> และ <strong>“แบบอาคารเรือนไม้ เครื่องไม้ทั้งหลัง ที่มีฐานเป็นหินหรือปักเสาลงบนพื้นดิน”</strong></p> <p align="justify">         สำหรับแบบ <strong>“โครงสร้างหลังคาไม้ประกอบปราสาทหิน”</strong> ในยุคต่อมามีการพัฒนารูปแบบทางสถาปัตยกรรมโดยนำหินทราย อิฐ ศิลาแลงมาสร้าง(มุง)เป็นหลังคาแทนเครื่องไม้และกระเบื้อง รวมทั้งยังมีการแกะสลักเลียนแบบลอนหลังคากระเบื้อง ปักเสาบราลีหินทรายเรียงรายไปบนสันหลังคาและแกะสลักรูปของกระเบื้องเชิงชาย ตามแบบอย่างของเครื่องไม้เดิม</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71927497.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพจำลองของ โครงสร้างไม้หลังคาและการมุงกระเบื้องประกอบปราสาทหิน</p> <p align="justify">ตามหลักฐานที่พบจาก<strong>ปราสาทแปรรับ</strong></p> <p align="justify"><strong>         ส่วนแบบอาคารเรือนไม้หรือเป็นเครื่องไม้ทั้งหลัง</strong> มีทั้งแบบเป็นอาคารเดี่ยว ที่สร้างเป็นอาคารต่างหากไม่เชื่อมต่อกับปราสาทหิน และ แบบที่เป็นโครงสร้างเรือนไม้ที่มา <strong>“เชื่อมต่อ”</strong> ออกมาจากตัวศาสนสถานหรือตัวปราสาทหิน สามารถสังเกตเห็นได้จากส่วนของหน้าบันที่มีรูปสลักสวยงามของปราสาทหลายแห่งจะปรากฏว่ามี <strong>“รูเข้าคานไม้”</strong> เรียงเป็นแนวเฉียงตามโครงหลังคาทรงหน้าจั่ว ทั้งที่หน้าบันด้านหน้าหรือด้านหลังของปราสาท เช่นเดียวกับ “<strong>รูขื่อคานไม้”</strong> ยึดโครงสร้างหลังคาที่พบอยู่ด้านหลังของหน้าบัน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192019c.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของ <strong>"รูเข้าไม้" </strong>ไว้สอดคานไม้ แนวหน้าจั่ว .</p> <p align="justify">บนหน้าบัน<strong>ปราสาทตาพรหม แห่งโตนเลบาตี</strong></p> <p align="justify">เป็นการเชื่อมอาคารเรือนเครื่องไม้แบบต่าง ๆ เข้าทางด้านหน้าของอาคารปราสาทหิน</p> <p align="justify">         ร่องรอยของ <strong>“รูเข้าไม้”</strong> บนหน้าบัน ก็เป็นหลักฐานที่แสดงว่า เคยมีเรือนไม้<strong>“หลังคา”</strong> เชื่อมต่อกับต่อติดกับตัวอาคารปราสาท อาคารเป็นหลังคาของอาคารฉนวนทางเชื่อมระหว่าง <strong>“ตัวปราสาท”</strong> ที่สร้างด้วยหินทรายหรือศิลาแลงกับอาคารพลับพลาเรือนเครื่องไม้ทรงจัตุรมุขหรือทรงหน้าจั่วชั้นซ้อน ที่อนุมานจากแผนผังของซาก <strong>“ฐานอาคาร”</strong> เช่นที่พบที่ <strong>”ปราสาทตาเมือนโต๊จฺ” (</strong><strong>Ta Muan Toch Pr.)</strong> (ปราสาทสุคตาลัยแห่งอโรคยศาลา) จังหวัดสุรินทร์ <strong>ปราสาทตาพรหมแห่งโตนเลบาตี (</strong><strong>Taprohm Pr. At Tonle Bati)</strong> จังหวัดตาแก้ว ประเทศกัมพูชาแ(และอีกหลายแห่ง) จะพบฐานดินอัดบุขอบข้างด้วยหินศิลาแลง แผนผังรูปอาคารกากบาทต่อชาลาทางเดินเชื่อมเรือนไม้เข้ากับโคปุระ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a598.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925341.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรูเข้าไม้"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">บนหน้าบัน<strong>ปราสาทตาเมือนโต๊จฺ</strong></p> <p align="justify">สอดรับกับแนวฐานอาคารด้านหน้า ที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตเคยมีการเชื่อมอาคารปราสาทหิน</p> <p align="justify">ด้วยฉนวนมุงหลังคาเครื่องไม้บนฐานชาลาทางเดิน</p> <p align="justify">เข้ากับอาคารพลับพลาไม้รูปทรงจัตุรมุขและอาคารโคปุระที่สร้างด้วยหินเป็นแนวยาว</p> <p align="justify">และยังเชื่อมต่ออาคารหลังคาไม้ ไปตามฐานของชาลาทางเดิน ไปจนสุดทางด้านหน้า</p> <p align="justify">         นอกจากร่องรอยของรูเข้าขื่อคานไม้บนหน้าบัน ยังปรากฏร่องรอยของ<strong> "รูเสาไม้ปักลงบนพื้น" </strong>ที่ไม่มี <strong>“ฐานอาคาร”</strong> รองรับตามปราสาทหลายแห่ง เช่นที่<strong>ปราสาทวหนิคฤหะกุกมอน (</strong><strong>Kok Mon Pr.) ปราสาทวหนิคฤหะสัมปู (Sampeou Pr.) ปราสาทวหนิคฤหะปราสาทตาเมือน (Ta Muan Pr.)</strong> ก็เป็นรูปแบบของปราสาทที่เคยมีฉนวนทางเดินมุงหลังคา เชื่อมต่อกับเรือน(ศาลา)หลังคาไม้ แต่เสาไม้ที่รองรับโครงสร้าง เสาคู่แรกจะปักอยู่บนฐานเขียงของตัวปราสาทด้านหน้า เสาคู่ต่อมาจะปีกลงบนพื้นดินโดยไม่มีร่องรอยของการบุหินเป็นฐานของอาคารไม้แต่อย่างไร ซึ่งน่าจะเป็น <strong>“อาคารเครื่องไม้ตกแต่ง”</strong> ด้านหน้าตัวปราสาทหินในรูปแบบของ <strong>“ศาลา”</strong> โถง (ไม่มีผนัง)หลังคาหน้าจั่วมุงกระเบื้อง พื้นศาลาปูแผ่นไม้ยกสูงขึ้นจากระดับพื้นดิน ที่มีบันไดทางขึ้นเป็นเครื่องไม้เช่นเดียวกัน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719293d8.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรูเข้าไม้"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว .</p> <p align="justify">บนหน้าบันด้านหน้า <strong>ปราสาทกุกมอน</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719256e4.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอย <strong>"ช่องรูเข้าไม้"</strong> ไว้สอดใส่คานไม้แนวหน้าจั่ว</p> <p align="justify">บนหน้าบันด้านหลัง (ทิศตะวันตก) <strong>ปราสาทสัมปู</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192315f.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของ<strong> "รูเสาไม้"</strong> รองรับอาคารไม้บนฐานเขียงด้านหน้าของ<strong>ปราสาทตาเมือน</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/19/71923ab8.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของ<strong> "รูเสาไม้"</strong> รองรับอาคารไม้บนฐานเขียงด้านหน้า</p> <p align="justify">ของ<strong>ปราสาทวหินคฤหะแห่งปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนครหลวง</strong>.</p> <p align="justify"><strong>ศิลปะงานเครื่องไม้ .....ลวดลายแห่งศรัทธา</strong></p> <p align="justify">         ไหน ๆ ก็คุยถึงเรื่องของ<strong> “เครื่องไม้”</strong> ประกอบปราสาทและเรือนไม้มาแล้ว ก็ขอวกไปเขียนเรื่อง <strong>“ไม้ ๆ”</strong> ที่เกี่ยวเนื่องกันซักนิดนะครับ</p> <p align="justify">         เพราะนอกจากเครื่องไม้ ที่ใช้ประกอบโครงสร้างหลังคาของปราสาทหินและเรือนเครื่องไม้ ที่หาร่องรอยได้ยากแล้วในปัจจุบัน ยังมีการใช้ <strong>“ไม้”</strong> เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างอาคารปราสาทหิน ที่หาร่องรอยได้ยากยิ่งกว่าอีกด้วย</p> <p align="justify">         การใช้ไม้ ที่มีการแปรรูป เข้าไปเป็นส่วนประกอบของปราสาทหินที่ใช้หินทราย อิฐและศิลาแลงเป็นวัสดุหลักของโครงสร้าง เชื่อว่ามีมานานตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกของการสร้างปราสาท (อิฐ) หรืออาจนานกว่านั้น</p> <p align="justify">         ไม้แผ่นขนาดใหญ่ เนื้อหนาจะถูกใช้เป็นส่วน<strong> “คาน”</strong> รองรับน้ำหนักของโครงสร้างที่ก่อขึ้นไปด้านบน ที่มักเป็นเรือนปราสาทชั้นซ้อน (ศิขระ - ชั้นที่ลดหลั่นขึ้นไป)</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192d8b5.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของคานไม้ ? สอดอยู่ระหว่างการเรียงหินขึ้นไป ที่ปราสาทบันทายทัพ</p> <p align="justify">         การใช้ไม้เป็นคาน ประกอบโครงสร้างปราสาทส่วนรองรับชั้นซ้อน เมื่อเวลาผ่านไปยาวนานหลายร้อยจนถึงพันปี เกิดการผุกร่อน ย่อยสลาย รวมทั้งน้ำหนักของโครงสร้าง น้ำหนักของหินทรายสลักประดับเครื่องบนเช่น บัวกลุ่มยอดปราสาท หม้อกลศ บันแถลง(บรรพแถลง) ปราสาทจำลองและนาคปัก ก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการพังทลายของปราสาทที่ใช้อิฐเป็นวัสดุหลักของชั้นซ้อนหลายแห่ง</p> <p align="justify">         แต่ก็ไม่เฉพาะปราสาทอิฐเท่านั้นนะครับ ในยุคต่อมายังมีการพบร่อยรอยของการใช้ <strong>“คานไม้”</strong> ประกอบอยู่ร่วมกับโครงสร้างของปราสาทที่สร้างจากหินทรายและหินศิลาแลง และอาจเป็นต้นเหตุให้ชั้นซ้อนด้านบนของปราสาทหินพังทลายลงมา อย่างที่เราเห็น <strong>“ปราสาทยอดด้วน”</strong> หลายแห่งในทุกวันนี้ไงครับ</p> <p align="justify">         นอกจากจะใช้ไม้เป็นคานรองรับน้ำหนักแล้ว ยังมีการใช้เครื่องไม้ทำเป็น<strong>“ฝ้าเพดาน” (</strong><strong>Attic Ceiling</strong><strong>) </strong>เจาะรูเข้าไปในหิน เพื่อสอด<strong>”ขื่อคาน”</strong> ปิดด้วยไม้แผ่นตามช่องตารางของคานไม้ วางตัวอยู่ด้านบนเหนือลวดลายคิ้วบัวบนผนัง ประดับประดาด้วยลวดลายสลักไม้ ตกแต่งด้านในหลังคาของปราสาทให้มีความสวยงาม เมื่อชะเง้อมองขึ้นไปจะได้ไม่เห็นการเรียงหินหลังคาหรือการเรียงหินเรือนชั้นซ้อนของปราสาทประธานที่ดูไม่สวยงามนัก</p> <p align="justify"><strong>         ยังไม่ปรากฏร่องรอยหลักฐานซากไม้ของฝ้าเพดานตามปราสาทหินอย่างชัดเจน</strong> ตัวอย่างของฝ้าเพดาน ที่พอหลงเหลือและเทียบเคียงได้ดีที่สุด ก็คงเป็นฝ้าเพดานไม้ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ที่ปิดประดับอยู่ใต้โครงสร้างหลังคาหินศิลาแลงภายในของ <strong>“พระปรางค์สามยอด” (</strong><strong>Phra Prang Sam Yod Pr.) </strong>จังหวัดลพบุรีครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e1d3.jpg" /></p> <p align="justify">ฝ้าเพดานไม้ ที่ได้รับการบูรณะแล้ว บนเพดานหลังคามุงหิน</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทปรางค์สามยอด</strong> จังหวัดลพบุรี</p> <p align="justify">         บนฝ้าเพดานของพระปรางค์สามยอด ยังคงปรากฏรอยริ้วของการประดับประดา ทั้งรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองและรอยด่างของไม้สลักรูป <strong>“ดาวประดับเพดาน”</strong> รอยสีของการลงรักปิดทอง อาจมีการประดับกระจกสี.. <strong>ซึ่งความงดงามที่เหลืออยู่ จะเด่นชัดเฉพาะผู้ที่ ”เข้าใจ” และมี “จินตนาการ” กับสิ่งที่สูญหายไปเท่านั้นครับ !!!</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e7b4.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของความงดงามที่เคยมีอยู่</p> <p align="justify">บนฝ้าเพดานของ<strong>ปราสาทปรางค์สามยอด</strong></p> <p align="justify"><strong></strong>         ร่องรอยของ <strong>“เครื่องไม้”</strong> เพื่อประกอบโครงสร้างของปราสาทหิน ที่พอจะหาพบได้แบบจะจะ ในปัจจุบัน อยู่ที่ <strong>“ปราสาทบันทายทัพ (</strong><strong>Banteay Torp Pr.)</strong><strong>”</strong> ปราสาท 5 ยอดในยุคจักรวรรดิบายน อายุการก่อสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ห่างจากปราสาทบันทายฉมาร์ (Banteay Chhmar Pr.) ไปทางทิศใต้ประมาณ 7 กิโลเมตร และคานไม้ปริศนาที่ <strong>“ปราสาทกุฎี ตาคมธม (</strong><strong>Kdi Ta Kom Thom Pr.)</strong><strong>”</strong> ที่เมืองโคล (Khol) อำเภออังกอร์ชุม (Angkor Chum) ทางทิศเหนือของจังหวัดเสียมเรียบ ใกล้กับปราสาทโคกโอจรุง <strong>(</strong><strong>Kuok O Chrung Pr.)</strong>ปราสาทวหนิคฤหะหรือธรรมศาลา (Dharmasala) ที่ตั้งอยู่บนแนวเส้นทางราชมรรคา (Angkorian – Royal Roads) เป็นกลุ่มชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณ <strong>“จุดตัด”</strong> สำคัญกับ <strong>“แม่น้ำสเตรงพลวง (</strong><strong>Stueng Phlang)</strong><strong>”</strong> จึงปรากฏสะพาน (สเปียน -Spean) หลายแห่ง ทั้ง สเปียนดำรัง (Spean Dam Rang) สเปียนเฮ้ว (Spean Hel) สเปียนมีเมย (Spean Memay)สเปียนพระชังเออ (Spean Preah Chang – er) ท่ามกลางเมืองโบราณขนาดใหญ่และหมู่ปราสาทหินโดยรอบอีกหลายหลัง</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921ef2.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยการใช้เสาไม้เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างปราสาทหิน</p> <p align="justify">หรืออาจเป็นเพียงโครงสร้างไม้ของฝ้าเพดาน ที่<strong>ปราสาทบันทายทัพ</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192d8ce.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของคานไม้ที่ผุพัง อาจเป็นคาน ? รองรับน้ำหนักหินด้านบน</p> <p align="justify">ที่<strong>ปราสาทกุฎีตาคมธม</strong></p> <p align="justify">         จากร่องรอยและลวดลายแกะสลักรูปบัวแปดกลีบที่ปราสาทบันทายทัพ แสดงให้เห็นว่ามีการใช้เครื่องไม้ประกอบโครงสร้างปราสาท ทั้งในส่วนของขื่อคานรองรับน้ำหนักและเครื่องไม้ประดับฝ้าเพดานที่มีการแกะสลักเนื้อให้มีความสวยงาม ซึ่งหลักฐานของเครื่องไม้ที่พบนี้ ก็อาจเป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเคยมีการใช้เครื่องไม้เป็นส่วนประกอบของปราสาทหิน แต่ในวันนี้มันได้อันตรธานหายไปเกือบทั้งหมด</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719203cb.jpg" /></p> <p align="justify">ลวดลายสลักรูปบัวแปดกลีบ ศิลปะแบบบายน บนคานไม้ ? หรือฝ้าเพดานไม้</p> <p align="justify">ที่<strong>ปราสาทบันทายทัพ</strong></p> <p align="justify">         นอกจากหลักฐานของเครื่องไม้ ที่ใช้เป็นขื่อคานและเครื่องไม้ประดับเพดานแล้ว ก็ยังมีร่องรอยของเครื่องไม้ที่ใช้เป็น <strong>“ประตู”</strong> เปิดปิดทางเข้าออกของศาสนสถานอีกครับ</p> <p align="justify">         หากท่านเคยสังเกต (ส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้สังเกต เพราะกำลังตื่นเต้นกับภาพสลักของทับหลังและหน้าบัน) บริเวณพื้นด้านในติดกับกรอบประตูหินทราย (ที่มักมีจารึกตัวยึกยือ) ทางเข้าของอาคารโคปุระ ตรงมุมล่างทั้งทางซ้ายและขวาจะปรากฏ <strong>“รูและร่องรางเลื่อน”</strong> ที่เป็นร่องรอยของการเข้าเดือยประตูไม้และการเคลื่อนที่ อยู่ตามปราสาทหินทุกแห่ง (ถ้าหาเจอ) แสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนของ<strong>“ประตูไม้”</strong> ที่เคยมีอยู่ และใช้งานตามแบบประตูปกติของมนุษย์ คือเอาไว้เปิดและปิดให้คนเข้าและออก</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71929180.jpg" /></p> <p align="justify">รูเดือยประตู สำหรับหมุนปิดเปิด</p> <p align="justify">อาคารโถงมณเฑียร <strong>ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192f1d2.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของรูเสาประตู บนกรอบประตู (ที่หักพังทลาย)ของ<strong>ปราสาทละลมธม</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192ac3b.jpg" /></p> <p align="justify">ช่องรางเดือยเสาประตู ด้านหน้า <strong>"สวยัมภูลังค์"</strong></p> <p align="justify"><strong>ปราสาทตาเมือน</strong> จังหวัดสุรินทร์</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921016.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรางเดือยของเสาประตู โคปุระทิศตะวันออก <strong>ปราสาทเมืองต่ำ</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192c045.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรางเดือยของเสาประตู โคปุระชั้นนอกทิศตะวันออก</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทหินพิมาย</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify"><strong>         ศิลปะแห่งบานประตู</strong> ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่คงต้องเขียนแยกไปอีกต่างหากครับ เพราะความงดงามของประตูไม้นั้น ถึงแม้ในวันนี้จะไม่เหลือหลักฐานเนื้อไม้แกะสลักให้เห็น แต่หากเราเอาไป <strong>“เทียบเคียง”</strong> กับประตูหลอก ที่สลักขึ้นจากโกลนอิฐปิดทับด้วยปูนปั้นและประตูสลักจากหินทรายตามปราสาทหลายแห่ง ท่านก็คงจะเข้าใจถึงลวดลายแกะสลักของประตูไม้ในยุคโบราณ ที่ประมาณว่า ประตูแกะสลักเนื้อหินทรายหรือปูนปั้นยังมีความละเอียดสวยงามขนาดนี้ แล้วประตูไม้ที่สาบสูญไป จะมีความงดงามขนาดไหน ?</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192b924.jpg" /></p> <p align="justify">ลวดลายปูนปั้นบนโกลนผนังอิฐรูปประตูหลอก <strong>ปราสาทพะโค</strong> อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719294c1.jpg" /></p> <p align="justify">ลวดลายอันงดงามบนประตูหลอกของ <strong>ปราสาทพะโค</strong></p> <p align="justify">มีรูปของที่จับประตูหัวสิงห์ทั้งสองด้าน อิทธิพลผสมของศิลปะจีน</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71929bca.jpg" /></p> <p align="justify">ลวดลายก้านต่อดอก ลายใบไม้ม้วน สันประตูมีอกเลาสลักเป็นรูปบัวแปดกลีบ</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทปักษีจำกรง</strong> ปลายพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924ed3.jpg" /></p> <p align="justify">ลวดลายวิจิตรบรรจง บนประตูหลอกที่แกะสลักจากหินทราย</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทบันทายสำเหร่</strong> อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><strong>         แต่ก็ใช่ว่า ประตูไม้จะมีการแกะสลักสวยงามไปทุกบานนะครับ</strong> เมื่อดูจากประตูหลอกของปราสาทหินหลายแห่ง เช่นที่ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทบ้านพลวง ฯลฯ ประตูหลอกที่แกะสลักจากหินส่วนด้านหน้า หรือบริเวณหมู่อาคารที่มีความสำคัญ ก็มักจะมีการแกะสลักอย่างสวยงาม แต่ประตูหลอกด้านอื่น ๆ จะสลักตามแบบของประตูไม้ทั่วไป คือมีอกเลาเรียงอยู่ตรงกลาง สลักลวดลายเพียงบางส่วน ซึ่งแบบแผนของการแกะสลักประตูไม้ก็คงมีความคล้ายคลึงกัน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719285ec.jpg" /></p> <p align="justify">ประตูหลอกที่มีลักษณะคล้ายกับประตูไม้ที่เคยมีอยู่</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทเบงเมเลีย</strong> อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921d19.jpg" /></p> <p align="justify">ประตูหลอกที่มีลักษณะคล้ายกับประตูไม้ที่เคยมีอยู่จริง</p> <p align="justify">ที่มักจะสลักเฉพาะตรงสันกลางและอกเลาเป็นลวดลายพรรณพฤกษาและดอกบัว</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทบ้านพลวง จังหวัดสุรินทร์</strong> อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192b734.jpg" /></p> <p align="justify">โกลนของประตูหลอก ที่ยังไม่มีการสลักลวดลาย ปราสาทบริวารของ</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทตาเมือนธม</strong> จังหวัดสุรินทร์</p> <p align="justify">.<img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924c96.jpg" /></p> <p align="justify">ประตูหลอกของหอมณฑปมุมตะวันตกเฉียงเหนือ ของ<strong>ปราสาทพนมรุ้ง</strong></p> <p align="justify">แสดงรูปลักษณ์ของประตูไม้หากไม่มีการแกะสลักลวดลาย</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719264c6.jpg" /></p> <p align="justify">ลวดลายบนบานประตู ในศิลปะแบบบายน</p> <p align="justify">ที่ยังคงรักษาขนบของลวดลายที่มีคล้ายคลึงกับศิลปะในยุคก่อนหน้า</p> <p align="justify">แต่ก็มีการรวมเสาประดับกรอบประตู สลักรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับประตูหลอก</p> <p align="justify">กลายเป็น เสาและประตูหลอกพร้อมกันในหนึ่งเดียว</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนครธม</strong></p> <p align="justify"><strong>เศษกระเบื้องและฐานอาคารเรือนเครื่องไม้</strong></p> <p align="justify"><strong>….บนเขาไกรลาสแห่งอีสานใต้</strong></p> <p align="justify">         จากเรื่องราวของเครื่องไม้ประกอบปราสาทในรูปแบบต่าง ๆ ยังมีร่องรอยของหลักฐานง่าย ๆ ที่หลายท่านอาจจะเคยสังเกตเห็นตามพื้นดินของแหล่งที่ตั้งปราสาทโบราณและพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของอาคารเรือนไม้ในยุคโบราณทุก ๆ แห่ง นั่นก็คือ ท่านจะพบกับเศษชิ้นส่วนของ <strong>“กระเบื้องมุงหลังคา” (</strong><strong>Roof Tiles)</strong> ที่แตกหัก กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณแหล่งที่ตั้งของปราสาทนั้น</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192039b.jpg" /></p> <p align="justify">เศษแตกหักกระเบื้องทุงหลังคาของอาคารบรรณาลัยและศาลาเครื่องไม้ที่เคยมีอยู่โดยรอบ</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทบากอง เมืองหริหราลัย</strong></p> <p align="justify"><strong>         ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด</strong> คือร่องรอยที่ <strong>"ปราสาทพนมรุ้ง" (Phnom Rung Pr.)</strong> จังหวัดบุรีรัมย์ บริเวณพื้นที่ชั้นบนสุด (ยอดเขา) ปรากฏฐานหินทรายของระเบียงคดและพลับพลา ที่เคยเป็นอาคารเรือนไม้ขนาดใหญ่ (ที่หายไปแล้ว) ล้อมรอบระเบียงคดและโคปุระของปราสาทพนมรุ้งที่สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู เป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายหินทราย ตรงแกนกลางเป็นดินอัด มีเศษกระเบื้องหลังคาชนิดต่าง ๆ แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย (ชิ้นใหญ่ ๆ คงเก็บเอาไปซ่อนไว้ กลัวคนเห็น)</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719213be.jpg" /></p> <p align="justify">เศษกระเบื้องแตกหักกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย</p> <p align="justify">บริเวณลานทางขึ้นสู่ตัว<strong>ปราสาทเขาพนมรุ้ง</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify">         ผู้คนทั่วไป เมื่อพบกับความงามของศาสนบรรพตที่งดงามที่สุดในประเทศไทย หลายคนก็คงไม่ได้สนใจก้มลงมามองเจ้าเศษกระเบื้องน้อย ๆ และคงไม่ได้สังเกตเห็นฐานอาคารของเรือนเครื่องไม้ที่รายล้อมอยู่ ก็มันไม่เห็น ....จะไปสนใจทำไม ?</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192416b.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192d3f6.jpg" /></p> <p align="justify">ฐานของอาคารที่เคยเป็นที่ตั้งของพลับพลาเรือนเครื่องไม้ขนาดใหญ่ด้านหน้าปราสาท</p> <p align="justify">และระเบียงคดที่อยู่ล้อมรอบชั้นนอกระเบียงคดที่สร้าจากหินทราย</p> <p align="justify">เป็นฐานอาคารที่ใช้ดินอัดตรงกลาง บุขอบฐานด้วยหินทราย ตกแต่งเป็นชั้นของฐานปัทม์</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทเขาพนมรุ้ง</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify"><strong>          ฐานอาคารไม้และเศษกระเบื้องที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง</strong> เป็นหลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อธิบายว่า นอกจากบนยอดเขาพนมรุ้ง จะมีปราสาทหินที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามแล้ว ภายนอกปริมณฑลแห่งสรวงสวรรค์สมมุติ ยังเคยมีอาคารเรือนไม้ ทั้งอาคารระเบียงคด และอาคารพลับพลาที่มีแผนผังรูป<strong>”กากบาท”</strong> หรืออาจเรียกว่า <strong>“พลับพลาจัตุรมุข”</strong> ที่เป็นอาคารศาลาเครื่องไม้ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่รายล้อมด้านนอกของปราสาทที่สร้างจากหินอีกทีครับ</p> <p align="justify"><strong>อาคารเรือนเครื่องไม้....บนภาพสลักหิน</strong></p> <p align="justify">         ร่องรอยหลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น <strong>“ภาพถ่ายโบราณ”</strong> อาศัยฟิล์มและกระดาษอัดรูป เป็น <strong>“ผนังหิน”</strong> รองรับภาพเสมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ก็คือ <strong>“ภาพแกะสลักนูนต่ำ </strong><strong>(Bas –Reliefs)</strong><strong>”</strong> บนปราสาทหินเก่าแก่หลายแห่ง ที่มีรูปของอาคารสถาปัตยกรรมแบบต่าง ๆ แทรกอยู่ภายในภาพด้วยไงครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192ea84.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักรูปอาคารศาลาไม้หน้าจั่ว หลังเล็ก อาจเป็นร้านค้า มีเครื่องสานแขวนอยู่ด้านบน</p> <p align="justify">ภาพสลักนูนต่ำที่ปราสาทบายน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192be38.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักรูปอาคารศาลาเครื่องไม้หน้าจั่ว ขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย</p> <p align="justify">แทรกอยู่ภายในภาพสลักนูนต่ำเล่าเรื่องวิถีชีวิตผู้คนในท่ามกลางตลาดที่จอแจ</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทบายน</strong></p> <p align="justify">         หลายคนคงเคยเห็นภาพสลักนูนต่ำที่<strong>ปราสาทบายน (</strong><strong>Bayon Pr.)</strong> ส่วนที่แสดงภาพวิถีชีวิต ตลาด ร้านค้า โรงหมอ ฯลฯ บนผนังกำแพงระเบียบคด ด้านทิศใต้ฝั่งตะวันออก ก็คงจะเคยสังเกตเห็นภาพของอาคารเรือนไม้ ที่เป็นศาลาหน้าจั่ว ไปจนถึงพลับพลาขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อนกว่าของเหล่านักบวช</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719258e0.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักของอาคารเรือนเครื่องไม้ขนาดใหญ่ ทรงหน้าจั่ว</p> <p align="justify">ที่อาจเป็นวัด (ราชวิหาร) หรือที่พักของเหล่านักบวช (ใส่เสื้อ มัดมวยผม)</p> <p align="justify">ที่<strong>ปราสาทบายน</strong></p> <p align="justify">         และหากถ้าขึ้นบันไดมาอีกชั้นหนึ่ง เดินไปตามลานประทักษิณ ในช่องด้านนอกของระเบียงชั้นสอง ก็จะเห็นภาพของอาคารเรือนไม้ ที่ดูใหญ่โต ซับซ้อนและสูงศักดิ์กว่าอาคารเรือนไม้ที่สลักไว้ตรงระเบียงคดชั้นล่าง หลายมุมเป็นภาพสลักของอาคารเรือนไม้มียอด ที่เป็นปราสาท พระราชวัง ที่ประทับแห่งพระเจ้าศรีชัยวรมัน (ชัยวรมันที่ 7) ในท่ามกลางเหล่าสนมกำนัล การบรรเลงดนตรีประกอบการร่ายรำท่า <strong>“ถ่างขา”</strong> ของสาว ๆ ในราชสำนักกัมพุชเทศ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719215dd.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักนูนต่ำ แสดงรูปของอาคารสถาปัตยกรรมเรือนเครื่องไม้ขนาดใหญ่ มียอดปราสาท</p> <p align="justify"><strong>ที่ประทับของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และพระมเหสีทั้งสองพระองค์ </strong>ในพระราชวังหลวง</p> <p align="justify">และอาคารเรือนเครื่องไม้ของเหล่านักบวชที่กำลังประกอบพิธีกรรม (ด้านล่าง)</p> <p align="justify">         ภาพสลักของอาคารเรือนเครื่องไม้ หรือเครื่องไม้ประกอบปราสาทหินที่ปราสาทบายน มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 18 <strong>แต่ยังไม่ใช่เป็น “หลักฐาน” ภาพถ่ายของเรือนเครื่องไม้โบราณที่เก่าที่สุดครับ</strong></p> <p align="justify"><strong>         จากปราสาทบายน</strong> ลงใต้มาอีกกว่า 3 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวซ้าย เข้าสู่<strong>มหาปราสาทนครวัด</strong> <strong>“บรมวิษณุโลก”</strong> สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคโบราณ อายุการก่อสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 เก่าแก่กว่าปราสาทบายน เกือบ 100 ปี ที่นี่ก็มีภาพสลัก <strong>“นูนต่ำ”</strong> จนติดกำแพงกว่าที่ปราสาทบายน เป็นรูปของอาคารสถาปัตยกรรมเครื่องไม้ ระดับพระราชวัง สลักอยู่ที่บริเวณปลายระเบียงคดใกล้กับหอตะวันออกของฝั่งทิศใต้ ภาพสลักแถบนี้เล่าเรื่องสยองของ <strong>“นรก”</strong> ทั้ง 37 ขุมครับ</p> <p align="justify"><strong>         ปลายของภาพสลักแห่งการลงทัณฑ์</strong> เป็นรูปของ<strong>พระเจ้าสูริยวรมันที่ 2</strong> ในภาคของ <strong>“ผู้ที่ตายแล้ว – ไปรวมกับเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์”</strong> ประทับอยู่ท่ามกลางเหล่าสนมกำนัล มีผ้าม่าน (พระวิสูตร) ไหวพลิ้วตามลม ใต้ฐานปราสาทเป็นภาพของเหล่าครุฑพ่าห์ (เหาะเหิน) ทำท่าแบกตัวเรือนปราสาทไม้ ในนัยยะความหมายที่ว่า <strong>“ปราสาทที่ประทับแห่งองค์เทพเจ้าบนสวรรค์”</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a0f3.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักนูนต่ำ แสดงภาพของอาคารเรือนเครื่องไม้ขนาดใหญ่</p> <p align="justify">เป็นปราสาทที่ประทับของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 2 เมื่อครั้งเสด็จผ่านเข้าสู่ <strong>"บรมวิษณุโลก"</strong></p> <p align="justify"><strong>         เหนือขึ้นไป</strong> เป็นภาพเสมือนในอดีต ของหลังคาอาคารเครื่องไม้ ระดับมหาปราสาทราชวัง ปรากฏร่องรอยของหน้าบันแบบ <strong>“ปีกกา”</strong> และหลังคาชั้นซ้อนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งด้านบน เหนือหลังคาเป็นยอดปราสาททรงอ้วนแหลม เหนือหลังคาขึ้นไป มีนางอัปสรากำลังเหาะเหิน โปรยพฤกษาดอกไม้ (หอม)อันเป็นมงคลแก่ผู้กระทำดี</p> <p align="justify">         รายละเอียดของรูปอาคารเรือนเครื่องไม้ แสดงให้เห็นถึง โครงสร้างหลังคาหน้าจั่ว หน้าบันแบบนครวัด (ไม่เป็นสามเหลี่ยม แต่จะแยกออกเป็นปีกกา) ปลายหน้าบันม้วนเป็นลายพรรณพฤกษา เหนือขึ้นไปเป็นใบระการูปดอกไม้ – พรรณพฤกษาตั้งเป็นพวยขึ้นไป หลังคามุงด้วยกระเบื้องวางเป็นลอนเรียงลงมา สันหลังคาประดับด้วย<strong>บราลี (</strong><strong>Barali)</strong> ชายหลังคาประดับด้วย<strong>กระเบื้องเชิงชาย (</strong><strong>Antefixs)</strong> อย่างชัดเจน</p> <p align="justify"><strong>         แต่ ...ภาพสลักนูนต่ำที่แสดงให้เห็นรูปของอาคารสถาปัตยกรรมเรือนเครื่องไม้ โครงไม้หลังคาที่เก่าที่สุด ก็ไม่ใช่ที่ “บรมวิษณุโลก” แห่งนี้ แต่จะเป็นที่ไหนนั้น ตามผมมา... ละกันครับ !!!</strong></p> <p align="justify">         กลับไปทางเดิม ย้อนขึ้นเหนือไปอีกกว่า 4 กิโลเมตร ผ่านปราสาทบายน แล้วเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ <strong>“ปราสาทบาปวน </strong><strong>(Baphuon Pr.)"</strong>ปราสาททรงพีระมิดขนาดใหญ่ อายุเริ่มสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 16 เก่าแก่กว่าปราสาทนครวัดขึ้นไปอีกกว่า 100 ปี ที่เพิ่งจะสิ้นสุด หยุดการบูรณะและมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2011 นี้ไงครับ</p> <p align="justify">         ภาพสลักที่แสดงรูปแบบของสถาปัตยกรรมอาคารเรือนไม้ที่เก่าแก่ที่สุด ก็คงจะอยู่ที่ปราสาทบาปวนแห่งนี้ ครับ เพราะหากจะเสาะหารูปสลักที่มีรูปของสถาปัตยกรรมแทรกอยู่ที่เก่าแก่ขึ้นไปอีก ก็คงจะเป็นรูปของอาคารทรง<strong>“ปราสาท”</strong> ตามแบบแผนคัมภีร์ปุราณะโบราณ ที่หน้าบันของอาคารบรรณาลัยทางทิศใต้ ของ<strong>ปราสาทบันทายสรี</strong> อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15 แต่ที่นั่นก็ไม่ใช่อาคารเรือนไม้ที่เรากำลังตามหาอยู่ครับ</p> <p align="justify">         ภาพสลัก <strong>”นูน (ไม่) ต่ำ”</strong> นัก ของปราสาทบาปวน มี <strong>“ขนบ - แบบแผน”</strong>ของการจัดวางภาพเป็นช่อง เป็นกรอบ (Frame) มีเส้นตีคั่นระหว่างช่องอย่างชัดเจน แต่ละช่องจะเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ เรื่องที่นิยมสลักหินเล่าเรื่อง เท่าที่ผมพอจะรู้เรื่องบ้างคือเรื่องยอดนิยมอย่าง <strong>”มหากาพย์มหาภารตะ” (</strong><strong>Epic of the Mahabharata)</strong> เรื่อง<strong> “มหากาพย์รามายณะ (</strong><strong>Epic of the Ramayana)</strong>และภาพที่แสดงความเป็น <strong>“มงคล”</strong><strong> (Auspicious)</strong> ทั่วไป</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921103.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักแสดงรูปของอาคารเรือนเครื่องไม้ทรงหน้าจั่วมีชั้นซ้อน</p> <p align="justify">แสดงเรื่องราวในมหากาพย์มหาภารตะ ที่<strong>ปราสาทบาปวน</strong></p> <p align="justify">         ที่มุมหนึ่งของอาคารโคปุระด้านหน้าทิศตะวันออกปรากฏภาพของอาคารสถาปัตยกรรมเรือนเครื่องไม้ แทรกอยู่ในหลายกรอบภาพ เช่นเรื่องราวตอนหนึ่งของมหากาพย์มหาภารตะ ตอนที่ "<strong>ยุธิษฐิระ"</strong>พระเชษฐาคนโตของสายตระกูลปาณฑพ กำลังเล่น<strong> “สกา”</strong> กับ ศกุนิ พระเชษฐาของนางคานธารี (นางผู้ยอมตาบอด) พระปิตุลาของ<strong> “ทุรโยธน์”</strong> พระเชษฐาคนโตของสายตระกูลเการพ</p> <p align="justify">         ศกุนิเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยม และเก่งกาจในการเล่นพนันขันต่อ ช่างสลักจึงแสดงภาพของ ยุธิษฐิระ ที่กำลังแสดงความโศกเศร้าเมื่อเล่นสกาแพ้ และต้องเสียนาง <strong>“เทราปตี” (ภาพผู้หญิงนั่งข้างล่าง)</strong> เป็นเดิมพัน ออกมาอย่างชัดเจน จากเหตุการณ์ตอนนี้ได้นำไปสู่การดูแคลน เย้ยหยันและรังแก จนกลายต้นเหตุหนึ่งของสงครามใหญ่แห่งชมพูทวีป</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921ef0.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักแสดงรูปของอาคารเรือนเครื่องไม้ทรงหน้าจั่ว แบบศาลามีหลังคาชั้นเดียว</p> <p align="justify">แสดงเรื่องราวในมหากาพย์มหาภารตะ ตอนสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ที่<strong>ปราสาทบาปวน</strong></p> <p align="justify">         อีกกรอบภาพหนึ่งที่มีภาพของอาคารแบบศาลาแทรกอยู่ในเรื่องเล่า เป็นภาพมหากาพย์มหาภารตะในตอน <strong>“อนุศาสนบรรพ”</strong> ที่สลักเป็นรูปของ<strong>“ภีษมะ”</strong>แม่ทัพผู้เป็นผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูล ถูกธนูของ <strong>“อรชุน”</strong> สังหาร แต่ยังได้รับพรให้มีชีวิตอยู่ นอนอยู่บนลูกธนูใต้อาคารหน้าจั่ว มีอรชุนและยุธิษฐิระ แสดงท่านั่งชันเข่าแบบกษัตริย์ (มหาราชาลีลาสนะ) มือหนึ่งกุมหน้าอกแสดงความเสียใจ และกำลังรับคำสอน <strong>“อนุศาสนศาสตร์”</strong> ศาสตร์แห่งการปกครองผู้คนโดยธรรมจากภีษมะ เป็นครั้งสุดท้าย</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192686d.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักแสดงรูปของอาคารเรือนเครื่องไม้ทรงหน้าจั่วขนาดใหญ่</p> <p align="justify">แทรกอยู่ในภาพเล่าเรื่องมหากาพย์รามายณะ ที่<strong>ปราสาทบาปวน</strong></p> <p align="justify">         ภาพสลักในอีกมุมหนึ่งของปราสาท เป็นเรื่องราวในมหากาพย์รามายณะ เป็นภาพของอาคารเรือนไม้หน้าจั่ว ที่อาจแสดงเป็นที่พัก<strong>“อาศรม” </strong>แทรกตัวอยู่ในภาพสลัก ตอน <strong>พระรามและพระลักษณ์เดินดง ?</strong></p> <p align="justify">         จากภาพทั้งสาม (และอีกหลายภาพสลัก) ล้วนเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ในราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นอย่างน้อย รูปแบบของอาคารเรือนเครื่องไม้ จะมีสัณฐานรูปทรงหน้าจั่ว ลักษณะเดียวกับร่องรอยของ <strong>“รูขื่อคานไม้”</strong> ที่พบอยู่บนส่วนด้านหลังของปราสาทหินหลายแห่ง และหน้าบันรูปทรงหน้าจั่ว ก็อาจจะเป็นหน้าบันที่ทำจากเครื่องไม้ ที่หายไปเช่นเดี่ยวกับโครงสร้างหลังคาอีกด้วย</p> <p align="justify">         ภาพสลักโครงสร้างไม้ของอาคารสถาปัตยกรรม ทั้งที่ปราสาทบายน ปราสาทนครวัดและปราสาทบาปวน ล้วนแต่แสดงให้เห็นการมุงกระเบื้องหลังคาแบบเป็นลอน ชายหลังคาจะติดหรือประดับด้วยกระเบื้องเชิงชาย สันหลังคาประดับด้วยวัตถุยอดแหลมที่เรียกว่า <strong>“บราลี”</strong> เหมือนกันทั้งสิ้น</p> <p align="justify"><strong>         หลักฐานจาก “ภาพสลัก” ที่ผมนำมาเสนอ ท่านก็คงเริ่มมั่นใจแล้วใช่ไหมครับว่า ครั้งหนึ่ง เหล่าปราสาทหินน้อยใหญ่ ต้องเคยมีเครื่องไม้ประกอบอยู่ด้วย </strong><strong>!!!</strong></p> <p align="justify">         หากท่านยังไม่มั่นใจ เรามาดูการอนุมานหลักฐานเพิ่มเติมของ <strong>“โครงสร้างหลังคาเรือนไม้”</strong> ประกอบปราสาทหิน (แบบมีหินรองรับ) และโครงสร้างหลังคาเรือนไม้ เช่นศาลา พลับพลา (แบบมีเสาไม้รองรับ) และชิ้นส่วนของเครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา ที่ใช้ประกอบอาคาร สถาปัตยกรรมแบบต่าง ๆ ที่ขุดค้นพบ (และไม่ได้ขุดค้น – ได้จากขุดหาของเก่า) จากแหล่งเตาเผา จากตัวที่ตั้งของแหล่งโบราณสถานและจากแหล่งชุมชนโบราณที่เคยมีเรือนไม้สร้างอยู่ ว่ามีอะไรบ้างกันดีกว่าครับ</p> <p align="justify"><strong>โครงสร้างหลังคาเรือนเครื่องไม้ ....วิชาการที่ต้องผสานจินตนาการ</strong></p> <p align="justify"><strong></strong><strong>         เริ่มจากโครงสร้างหลังคาเรือนไม้ </strong>(ทั้งที่สร้างอยู่เหนือระเบียงหิน หรือสร้างอยู่บนเสาหินหรือเสาไม้ ก็จะมีความคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างก็ตรงที่ ปลายชายหลังคา หากเป็นแบบสร้างอยู่บนผนังระเบียงหิน ก็อาจมีการใช้หินทรายสลักเป็นเชิงชายแทนการใช้กระเบื้อง) มีการศึกษาและสร้าง <strong>“จินตนาการ”</strong></p> <p align="justify"><strong>(</strong><strong>Imagine)</strong> ออกมาเป็นภาพลายเส้น (Line Art) โดย <strong>“เฮนรี่ ปาร์มองติเยร์ (</strong><strong>Henri Parmentier)</strong><strong>”</strong> ได้เคยวาดภาพลายเส้นและรูปแบบของหลังคา ตามหลักฐานรูสอดช่องคานไม้ที่พบบนหลังหน้าบันของปราสาทพระวิหาร แบบที่เป็นผนังระเบียงหินเช่น อาคารด้านปีกข้างของโคปุระชั้นที่ 3 (นับจากด้านล่าง) และหลังคาของอาคารโถงสูง (มณเฑียร) ด้านหน้าระเบียงคดของปราสาทประธานชั้นบนสุด</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a14a.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e1b5.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพลายเส้นสมมุติ ของอาคารโคปุระชั้นที่ 3 <strong>ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e745.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพวาดลายเส้นของ <strong>เฮนรี่ ปาร์มองติเยร์</strong></p> <p align="justify">แสดงภาพหน้าตัดภายใน ของโครงสร้างหลังคาไม้ที่เคยมีอยู่</p> <p align="justify">ด้านบนอาคารโถงมณเฑียร ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของ<strong>ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify">         ส่วนตัวอย่างของปราสาทที่ใช้เสาหินรองรับคานหิน (ที่คานด้านนอกจะสลักเป็นรูปกลีบบัวเชิงชายแทนกระเบื้อง) รองรับโครงสร้างหลังคาเรือนไม้ ก็จะเห็นได้จาก โคปุระชั้น ที่ 1 และชั้นที่ 2 (นับจากข้างล่าง)ของปราสาทพระวิหารเป็นตัวอย่างอันดี</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921e35.jpg" /></p> <p align="justify">คานหินสลักเป็นรูปกลีบบัวเชิงชายเพื่อใช้รองรับโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify">วางเรียงพาดอยู่บนเสา</p> <p align="justify"><strong>โคปุระชั้นที่ 2 ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192685d.jpg" /></p> <p align="justify">คานหินสลักเป็นรูปกลีบบัวเชิงชายเพื่อใช้รองรับโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify">มีเสาหิน (ตกแต่งเป็นลวดลายคิ้วบัวด้านบน)รองรับ</p> <p align="justify"><strong>โคปุระชั้นที่ 1 ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify">         จากภาพลายเส้นของ <strong>ปาร์มองติเยร์ </strong>ในปี 1939 ก็ยังมีการศึกษา ค้นหารูปแบบของโครงสร้างหลังคาไม้ที่หายไป มาโดยตลอด จนสามารถสร้างเป็นภาพลายเส้นของโครงสร้างหลังคาไม้ แบบที่มีหน้าจั่วชั้นเดียว กับแบบที่มีชั้นซ้อนขึ้นไปได้จากร่องรอยที่ปรากฏตามปราสาทหลังต่าง ๆ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e30e.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยของ <strong>"รู"</strong> สอดคานไม้ รองรับโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify">บนผนังของอาคารพลับพลา (ห้องพิธีกรรม - บรรณาลัย - หอคัมภีร์) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้</p> <p align="justify">ของ<strong>ปราสาทหินพิมาย</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71923e97.jpg" /></p> <p align="justify">รูปภาพสันนิษฐานการวางโครงสร้างหลังคาไม้และการมุงกระเบื้องตรงส่วนหักมุม</p> <p align="justify">ของ<strong>ปราสาทแม่บุญตะวันออก</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924dc9.jpg" /></p> <p align="justify">รูปภาพสันนิษฐานการวางโครงสร้างหลังคาไม้รูปหน้าจั่วและการมุงกระเบื้อง</p> <p align="justify">ของ<strong>ปราสาทแม่บุญตะวันออก</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71927497.jpg" /></p> <p align="justify">รูปภาพจำลองของการวางโครงสร้างหลังคาไม้และการมุงกระเบื้องแบบต่าง ๆ</p> <p align="justify">ของ<strong>ปราสาทแปรรับ</strong></p> <p align="justify">         คงด้วยเพราะโครงสร้างของหลังคาเรือนไม้ จะมีความคล้ายคลึงกันกับโครงสร้างหลังคาของศาสนสถานที่เป็นเรือนไม้ในยุคหลัง เรียกว่าคงมีพัฒนาการต่อยอดหรือสืบทอดต่อกันมา โครงสร้างสำคัญก็คงเป็น คานอะเส ขื่อไม้ และจันทัน ที่เป็นส่วนรับน้ำหนักและขึ้นเป็นโครงร่าง ต่อด้วยเสาตุ๊กตา เสาตั้ง ขื่อคัด ไม้รองรับจันทัน และไม้แปสำหรับการเข้ากระเบื้องมุงหลังคา (รวมถึงไม้ระแนงหากเป็นการมุงกระเบื้องแบบแผ่นแบน)</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192d7a0.jpg" /></p> <p align="justify">รูปภาพจำลองของการวางโครงสร้างหลังคาไม้และการมุงกระเบื้องแบบต่าง ๆ</p> <p align="justify">ของอาคารระเบียงคดหรืออาคารเรือนไม้ ที่มีการใช้เสาหินรองรับโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify"><strong>ในรูปแบบการวางหลังคาแบบนี้จะมีการใช้กระเบื้องเชิงชายอุดที่ปลายหลังคา</strong></p> <p align="justify"><strong>          ส่วนประกอบของโครงสร้าง ที่ประกอบเป็นหลังคาไม้ของระเบียงปราสาทหิน ยังมีองค์ประกอบสำคัญคือ เครื่องกระเบื้องหลังคา (Roof Tiles) อีกครับ</strong></p> <p align="justify">         การศึกษาเรื่องกระเบื้องมุงหลังคา ที่มาจากแหล่งเตาเครื่องปั้น เครื่องเคลือบดินเผา ตามแนวคิดของนักวิชาการต่างประเทศกลุ่มใหญ่ เชื่อว่า <strong>การเกิดขึ้นของรูปแบบหลังคาทรงหน้าจั่วและกระเบื้องลอน เป็นผลมาจากอิทธิพลเดียวกันกับเครื่องเคลือบดินเผาประเภทต่าง ๆ</strong> นั่นก็คือการได้รับ <strong>“อิทธิพลของช่างจีน” </strong><strong>(Chinese Influence)</strong> ที่เข้ามาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เทคโนโลยีและการค้าระหว่างกลุ่มชนในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับกับกลุ่มชนในเขตประเทศจีนตอนใต้ มาตั้งแต่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 13</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719271a5.jpg" /></p> <p align="justify"><strong>อิทธิพลของช่างจีน</strong> ปรากฏหลักฐานบนภาพสลักบานประตูหลอกของ<strong>ปราสาทพะโค</strong></p> <p align="justify">โดยเฉพาะรูปของ <strong>"ที่จับประตูหัวสิงห์"</strong> ที่สลักให้ยื่นออกมา</p> <p align="justify">เป็นตำแหน่งเดียวกับประตูของศาสนสถานในวัฒนธรรมจีน</p> <p align="justify">         รูปแบบของหลังคาและกระเบื้องมุงหลังคาในยุคก่อนหน้า จากการขุดค้นที่<strong>แหล่งชุมชนโบราณออกแอว (</strong><strong>Oc Eo)</strong> บริเวณที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ประเทศเวียดนาม และที่เขต<strong>เมืองโบราณอังกอร์โบเรย (</strong><strong>Angkor Borei)</strong> จังหวัดตาแก้ว ประเทศกัมพูชา ก็เคยได้พบร่องรอยของการใช้กระเบื้องหลังคามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 10 – 11 เป็นกระเบื้องรูปทรงสี่เหลี่ยม ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่พบในอินเดีย</p> <p align="justify">       จากหลักฐานที่อังกอร์โบเรย ประกอบกับหลักฐานกระเบื้องทรงสี่เหลี่ยมแบบแบน ร่องตื้น มีรูเจาะ 2 รูสำหรับยึดเข้ากับไม้แป คล้ายคลึงกันกับที่พบในเขต<strong>อีสานปุระ</strong> หรือ <strong>สมโบร์ไพรกุก</strong><strong> (Sambo Prei Kuk)</strong> อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นลักษณะของกระเบื้องเจาะรูผูก วางบนโครงไม้ ยังไม่ปรากฏร่องรอยของกระเบื้องเชิงชายและบราลี เป็นลักษณะของกระเบื้องหลังคาที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวาหรืออินเดีย เช่นเดียวกัน</p> <p align="justify"><strong>         หลังพุทธศตวรรษที่ 14</strong> อิทธิพลทางวัฒนธรรมของจีน ได้แพร่หลายเข้ามาสู่อาณาจักรกัมพุชเทศ พร้อม ๆ กับเทคนิค องค์ความรู้ ประสบการณ์ ภูมิปัญญาของการสร้างเครื่องเคลือบดินเผาประเภทต่าง ๆ และการค้าทางทะเล น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการผสมโครงสร้างหลังคาเครื่องไม้ ด้วยกระเบื้องยึดติดกับขื่อแป กระเบื้องลอน(กาบกล้วย) ปิดรูกระเบื้องชายหลังคาด้วยกระเบื้องเชิงชาย มีกระเบื้องปิดคานอกไก่ด้านบน ตามแบบการก่อสร้างของช่างจีน เป็นครั้งแรก ๆ ครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192bbcc.jpg" /></p> <p align="justify">รูปแบบกระเบื้องเคลือบ (และไม่เคลือบ)ชนิดต่าง ๆ</p> <p align="justify">ที่ขุดพบจาก<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71927689.jpg" /></p> <p align="justify">การทดสอบเรียงกระเบื้องตัวผู้(กาบกล้วย) และกระเบื้องตัวเมียที่ได้จาก<strong>แหล่งเตาตานี</strong></p> <p align="justify">บนโครงสร้างหลังคาไม้จำลอง</p> <p align="justify">         การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลังคาที่ได้รับอิทธิพลทางเทคโนโลยีผสมศิลปะจากวัฒนธรรมทางตอนใต้ของจีน ได้ก่อให้เกิดรูปแบบศิลปะใหม่ ที่ผสมผสานทั้งจากวัฒนธรรมอินเดียและจีน เข้ามาปรับเปลี่ยน ปรับปรุง พัฒนาจนกลายมาเป็นรูปแบบของการมุงหลังคาปราสาทหินด้วยเครื่องไม้ของช่างชาวกัมพุชอย่างต่อเนื่อง</p> <p align="justify">         กระเบื้องมุงหลังคาที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมจีน (และพัฒนารูปแบบ รูปทรง เนื้อดิน สีสันน้ำเคลือบและการใช้งานมาเป็นแบบของกัมพุชเอง) แบ่งประเภทออกได้เป็น <strong>กระเบื้องตัวผู้</strong><strong> (Round tile)หรือกระเบื้องกาบกล้วย</strong><strong>กระเบื้องตัวเมีย (flat tile) กระเบื้องเชิงชาย (Eave/ridge Tiles) และ บราลี (Barali - Ridge Tiles / finial Tiles) วางปิดสันหลังคา</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e66f.jpg" /></p> <p align="justify">เครื่องเคลือบรูป <strong>"บราลี"</strong> จากแหล่งเตาทะนอล มะเลจ บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">         เมื่อประกอบโครงสร้างไม้ของหลังคา (ทั้งแบบบนผนัง และแบบบนเสา) เสร็จแล้ว ก็จะมุงกระเบื้อง โดยใช้เดือยของกระเบื้องตัวเมียวางทับไว้ในร่องของคานแป เรียงซ้อนลงมาโดยให้แผ่นกระเบื้องด้านบนที่สอบเล็กลง วางเกยอยู่บนแผ่นกระเบื้องแผ่นล่าง ส่วนกระเบื้องตัวผู้ก็จะวางเข้าเดือยทับกระเบื้องตัวเมียเรียงเป็นลอนเดี่ยว วางเกยยาวต่อกันลงมา</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719297f6.jpg" /></p> <p align="justify">เดือยของกระเบื้องตัวเมีย วางประกบบนคานแปของโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a826.jpg" /></p> <p align="justify">เดือยของกระเบื้องตัวผู้ (กาบกล้วย)ไว้ประกบเรียงเข้ากับกระเบื้องตัวบ</p> <p align="justify">         ช่วงปลายหลังคา (ชายคา) จะใช้ <strong>“กระเบื้องประดับปลายหลังคา”  (</strong><strong>Antefix)</strong> หรือ <strong>“กระเบื้องเชิงชาย” </strong><strong>(Eaves tiles)</strong> ที่มีการตกแต่งเป็นลวดลายศิลปะสวยงาม สอดเข้าไว้ที่ชายหลังคาเป็นกระเบื้องตัวสุดท้าย ซึ่งอาจวางลอยบนแปไม้ (ใช้เสาไม้รอง) แบบ หรือ วางติดไว้บนคานหินแบบที่ไม่มีลวดลายบัวสลักไว้</p> <p align="justify"><strong>         แต่หากที่ปลายเชิงชาย มีหินวางเป็นคาน</strong> และแกะสลักเป็นรูปกลีบบัวเชิงชายแล้ว กระเบื้องหลังคาตัวสุดท้ายก็จะมาชนกับตัวบัวคานหินที่แกะสลักไว้พอดี โดยไม่ต้องใช้กระเบื้องเชิงชายมาอุดรูหรือปิดประดับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924679.jpg" /></p> <p align="justify">รูปภาพจำลองของการวางโครงสร้างหลังคาไม้และการมุงกระเบื้องแบบต่าง ๆ</p> <p align="justify">ของอาคารระเบียงคดที่มีการใช้คานหินสลักเป็นรูปตามแบบเครื่องกระเบื้อง</p> <p align="justify"><strong>ไม่มีกระเบื้องเชิงชายอุดที่ปลายหลังคา</strong></p> <p align="justify"><strong>เช่นที่โคปุระชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 ปราสาทพระวิหาร</strong></p> <p align="justify"><strong>         ส่วนด้านบนของสันหลังคา</strong> จะใช้กระเบื้องที่ทำเป็นรูปทรง <strong>กลศ (กะละสะ – หม้อน้ำมงคล)</strong> ต่อยอดแหลม เรียกว่า <strong>“บราลี”</strong> วางไว้ทับเหนือไม้คาน<strong>“อกไก่”</strong> มีปลายกระเบื้องซ้อนอยู่บนกระเบื้องหลังคาอีกทีหนึ่ง</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71922526.jpg" /></p> <p align="justify">เครื่องเคลือบดินเผารูป <strong>"บราลี"</strong> รูปทรงต่าง ๆ จากแหล่งเตาในเขตอำเภอบ้านกรวด</p> <p align="justify">จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร</p> <p align="justify"><strong>           จากหลังคาโครงสร้างไม้มุงกระเบื้อง ช่างสร้างปราสาทในยุคต่อมา ก็ได้ประยุกต์นำเอารูปแบบของหลังคาลอนกระเบื้องมีเชิงชาย มาแกะสลักไว้บนหลังคาที่สร้างด้วยหินทราย</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/19/71928484.jpg" /></p> <p align="justify">ลอนหลังคาและเชิงชายรูปกลีบบัวสลักหิน</p> <p align="justify">ชั้นลดของปราสาทประธาน <strong>ปราสาทพระวิหาร </strong>พุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify">         หลังคาของปราสาทหินที่มีการแกะสลักเป็นรูปลอนกระเบื้อง ก็มักจะมีการแกะสลักลวดลายตกแต่งไปบนลอน ในขณะที่ปลายหลังคา ก็จะทำเป็นรูปเหมือนของเชิงชายที่เลียนแบบมาจากกระเบื้องเชิงชาย สลักอยู่บนหินทรายแท่งเดียวกันกับปลายลอนหลังคาน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192502e.jpg" /></p> <p align="justify">รูปแบบการสลักหลังคาหินแบบเรียบไม่มีลอน(กระเบื้อง)</p> <p align="justify">ปลายหลังคาทำเป็นรูปกลีบบัวเชิงชาย สลักบนหินชิ้นเดียวกันกับหลังคา</p> <p align="justify">ที่<strong>ปราสาทพระวิหาร</strong> พุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify">         หรือในบางครั้ง <strong>ก็แยกส่วนของหินทรายออกทำเป็นคานทับหลังบนผนังกำแพงต่างหาก </strong>สลักรูปบัวเชิงชายลอยตัวออกมาอย่างเด่นชัด เป็น <strong>“ทับหลังเชิงชายหลังคาหิน”</strong> ซึ่งในรูปแบบนี้ บางทีก็ใช้โครงสร้างไม้มุงกระเบื้องต่อขึ้นไปเป็นหลังคา อย่างที่โคปุระจัตุรมุขชั้นแรกของปราสาทพระวิหาร หรือ อาจสลักหินทรายทำเป็นรูปลอนหลังคาต่อขึ้นไปก็ได้</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192443f.jpg" /></p> <p align="justify">คานหินเชิงชายที่สลักเป็นรูปกลีบบัว เลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย</p> <p align="justify">แยกส่วนออกจากหินมุงหลังคาที่สลักเป็นลอน ที่<strong>ปราสาทเบงเมเลีย</strong> ปลายพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192836d.jpg" /></p> <p align="justify">คานหินเชิงชายที่สลักเป็นลวดลายกลีบบัวสองชั้น มีลายเกสรล้อมรอบ</p> <p align="justify">เลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย</p> <p align="justify">พบจาก<strong>ปราสาทในเมืองเสมา</strong> จังหวัดนครราชสีมา อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920331.jpg" /></p> <p align="justify">รูปแบบการสลักหลังคาหินแบบเรียบไม่มีลอน(กระเบื้อง)</p> <p align="justify">ชายหลังคาทำเป็นรูปกลีบบัวเชิงลอยตัว สลักบนหินชิ้นเดียวกันกับหินมุงหลังคา</p> <p align="justify">ที่<strong>ปราสาทบันทายสรี</strong> พุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924b84.jpg" /></p> <p align="justify">รูปแบบการสลักหลังคาหินแบบเรียบไม่มีลอน(กระเบื้อง)</p> <p align="justify">ชายหลังคาทำเป็นรูปกลีบบัวลอยตัว สลักบนหินชิ้นเดียวกันกับหินมุงหลังคา</p> <p align="justify">ที่<strong>ปราสาทประธาน ปราสาทเขาพนมรุ้ง </strong>พุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         รูปแบบหลังคา (มุง) หิน ของปราสาทหินในยุคก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่ 16 ไม่ค่อยนิยมทำเลียนแบบลอนหลังคากระเบื้องดินเผา <strong>หรือถ้าทำ</strong> ก็จะแกะสลักเป็นลอนเรียบ ไม่มีการตกแต่งลวดลายใด ๆ บนลอนหิน (เลียนแบบ) ส่วนปลายหรือชายหลังคาก็นิยมทำเป็นทับหลังผนัง เลียนแบบเชิงชายรูปกลีบบัว และรูปกลีบบัวมีเกสรเป็นรัศมีเสียเป็นส่วนใหญ่ มีทั้งแบบเป็นชิ้นเดียวกับหลังคา และแบบแยกมาเป็นคานบัวเชิงชาย(ลอยตัว)โดยเฉพาะ ส่วนยอดสันของคานหลังคาก็จะแกะสลักเป็นรูปบราลีหินทราย เข้าเดือย วางเรียงประดับเช่นเดียวกับการประดับบราลีกระเบื้องบนหลังคาโครงไม้</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e492.jpg" /></p> <p align="justify">รูปแบบการสลักหลังคาหินเลียนแบบกระเบื้องลอน</p> <p align="justify">ชายหลังคาไม่มีการสลักลวดลาย</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทพิมานอากาศ </strong>ปลายพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a236.jpg" /></p> <p align="justify">คานหินชายหลังคาสลักเป็นรูปกลีบบัว เลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย</p> <p align="justify">แยกส่วนออกจากหินมุงหลังคาที่เป็นแบบเรียบไม่มีลอน</p> <p align="justify">ปราสาทประธาน <strong>ปราสาทตาเมือน</strong> จังหวัดสุรินทร์ กลางพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719261ed.jpg" /></p> <p align="justify">คานหินชายหลังคาสลักเป็นรูปกลีบบัว เลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย</p> <p align="justify">สลักบนคานหินแยกส่วนออกจากหินมุงหลังคาที่เป็นแบบเรียบไม่มีลอน</p> <p align="justify">อาคารบรรณาลัย <strong>ปราสาทสด๊กก๊อกธม</strong> จังหวัดสระแก้ว ต้นพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71927dab.jpg" /></p> <p align="justify">หินทรายสลักเป็นรูป<strong> "บราลี"</strong> ขนาดใหญ่ ใช้ประดับบนสันหลังคา</p> <p align="justify">ที่เคยอยู่บนหลังคาหินเลียนแบบเครื่องไม้ของระเบียงคด</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทหินพิมาย</strong> จังหวัดนครราชสีมา ต้นพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         รูปแบบของหลังคาหินที่สวยงามที่สุด ก็คงเป็นที่ <strong>“ปราสาทนครวัด”  (</strong><strong>Angkor Wat Pr.</strong><strong>) </strong>ตัวหลังคา ทำเป็นรูปโค้งประทุนเรือ บนหลังคาสลักเป็นรูปกระเบื้องลอน (ตัวผู้ - กาบกล้วย) จำลอง บนสันของลอน สลักเป็นลวดลายก้านต่อดอก ปลายล่างชายหลังคา สลักเป็นรูปเลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย แต่มีความวิจิตรบรรจง เพราะนอกจากจะสลักเป็นรูปกลีบบัว มีเกสรเป็นรัศมี ตามแบบปราสาทในยุคก่อนหน้าแล้ว ยังสลักเป็นรูปหน้าสิงห์ รูปสิงห์ทั้งตัว รูปครุฑยุดนาค (ประกอบลายพรรณพฤกษา) และรูปเทพเจ้าครึ่งตัวประกอบลายพรรณพฤกษา อีกด้วย</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192de8a.jpg" /></p> <p align="justify">หลังคาหินเลียนแบบเครื่องไม้ ทำเป็นลอนกระเบื้องมีลวดลาย</p> <p align="justify">ปลายของชายหลังคาทำเป็นรูปหน้าสิงห์</p> <p align="justify"><strong>มหาปราสาทนครวัด</strong> กลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719228eb.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักหินเลียนแบบกระเบื้องเชิงชายทำเป็นรูปครุฑยุดนาค</p> <p align="justify"><strong>มหาปราสาทนครวัด</strong> กลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71926ff5.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักหินเลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย ทำเป็นรูปสิงห์ทั้งตัว</p> <p align="justify"><strong>มหาปราสาทนครวัด</strong> กลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         มาถึงยุคศิลปะแบบปราสาทบายน รูปแบบของหลังคายิ่งทำเป็นลอนเลียนแบบหลังคาเรือนไม้ทั้งหมด ทั้งชั้นบนหลังคาและหลังคาชั้นลด ชั้นบนคานสันหลังคาวางบราลีหินหรือรูปสลักพระพุทธเจ้าหรือฤๅษีในซุ้มเรือนแก้ว ชายหลังคาก็มักจะนิยมทำเป็นเชิงชายหินรูปกลีบบัว หรือง่ายหน่อยก็อาจสลักให้หลังคาหายเข้าไปในคานโดยไม่ต้องสลักรูปกลีบบัวเชิงชายแต่อย่างใด</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71926fb3.jpg" /></p> <p align="justify">หลังคาหินทำเป็นลอนกระเบื้องเลียนแบบเครื่องไม้</p> <p align="justify">ปลายของชายหลังคาทำเป็นรูปกลีบบัวเชิงชาย</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทวหนิคฤหะแห่งปราสาทพระขรรค์</strong> กลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192062e.jpg" /></p> <p align="justify">อาคารปราสาท สร้างเลียนแบบอาคารเครื่องไม้ทั้งหลัง</p> <p align="justify">หลังคาทำเป็นลอนกระเบื้องเลียนแบบเครื่องไม้</p> <p align="justify">ปลายของชายหลังคาทำเป็นรูปกลีบบัวเชิงชาย</p> <p align="justify"><strong>โคปุระทิศตะวันออก ปราสาทพระขรรค์</strong> กลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><strong>กลีบบัว ฤๅษี พรรณพฤกษา ครุฑ นาค</strong></p> <p align="justify"><strong>เทพยดา อสุรา ศิวะ พระ อัปสรา หน้ากาล สิงห์</strong></p> <p align="justify"><strong>ศิลปะและลวดลาย...บนกระเบื้องเชิงชาย</strong></p> <p align="justify">         จากร่องรอยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของหลังคาเรือนไม้ ที่อาจได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่มชนทางตอนใต้ของจีน ผ่านกระบวนการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 มีพัฒนาการจนกลายมาเป็นแบบแผนศิลปะของชาวกัมพุชเทศอย่างสมบูรณ์ ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify">         รูปแบบของเครื่องกระเบื้องประกอบหลังคา ที่ผลิตจากเตาเผาหรือที่ขุดพบชิ้นส่วนได้ตามแหล่งโบราณคดีประเภทปราสาทหินและชุมชนโบราณทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา ที่มีทั้งแบบเคลือบ <strong>“น้ำเคลือบขี้เถ้าพืช” </strong><strong>(Ash glaze)</strong>แบบไม่เคลือบเนื้อแกร่งจนมาถึงแบบ<strong>กระเบื้องดินเผา (</strong><strong>Clay Tiles)</strong> นับจากกระเบื้องตัวผู้ กระเบื้องตัวเมีย บราลี กระเบื้องเชิงชาย และอื่น ๆ <strong>ส่วนที่มีความหลากหลายของลวดลายศิลปะมากที่สุดก็คงจะเป็น “กระเบื้องเชิงชาย” (</strong><strong>Antefix – Eaves Tile)</strong> หรือเรียกกันตามแบบช่างพื้นบ้านว่า <strong>“กระเบื้องหน้าอุด” (เอาไว้อุดรูกระเบื้องลอน)</strong> ก็ได้ครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925831.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายแบบมีน้ำเคลือบสีเขียวอ่อนรูปกลีบบัวและนาคสามเศียร</p> <p align="justify"><strong>พิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920b12.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพจำลองแสดงการเข้ากระเบื้องแบบต่าง ๆ บนโครงสร้างหลังคา</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทแปรรับ</strong> ต้นพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify"><strong>         ด้วยเพราะต้องผลิตในแบบเดียวกัน ครั้งละเป็นจำนวนมาก ๆ</strong> ศิลปะลวดลายที่เกิดขึ้นบนกระเบื้องเชิงชาย จึงมักเกิดขึ้นจากเทคนิคการขึ้นรูปด้วยการกดทับ (พิมพ์) ถอดออกจาก <strong>“แม่พิมพ์” (</strong><strong>Molding)</strong> ที่อาจทำจากแม่พิมพ์หินทราย ดินเผาหรือไม้ เราสามารถมองเห็นร่องรอยของเทคนิคการถอดแบบแม่พิมพ์ได้จาก<strong>ลวดลายที่ไม่ละเอียดนัก ฟองอากาศ การตกแต่ง การปาดดินขอบที่เกินออกมาจากพิมพ์ การเชื่อมต่อของแผ่นหน้าเข้ากับกระเบื้องตัวผู้ในขณะที่ดินยังชุ่มน้ำ ร่องรอยการประกบชน และการกดตกแต่งให้เป็นชิ้นเดียวกัน รวมถึงการตกแต่งเพิ่มเติม</strong>ได้บนกระเบื้องเชิงชายทุกแผ่นเลยครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719297d8.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยการปาดดินตกแต่งบริเวณรอยเชื่อมต่อของแผ่นหน้าเข้ากับกระเบื้องตัวผู้ด้านหลัง</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e13a.jpg" /></p> <p align="justify">ร่องรอยการปาดดินตกแต่งและการปั้นสันติดทับลงไปบนส่วนยอดแหลม</p> <p align="justify">บริเวณรอยเชื่อมต่อของแผ่นหน้าเข้ากับกระเบื้องตัวผู้ด้านหลัง</p> <p align="justify">         เป็นที่น่าสังเกตว่า เราจะพบชิ้นส่วนของกระเบื้องหลังคา บราลีและเชิงชายที่มีน้ำเคลือบสีสันสวยงาม หรือมีรูปทรง ศิลปะลวดลายที่งดงามตระการตา ตามแหล่งอาคารเรือนไม้ที่มีความสำคัญ เช่นเขตปราสาทราชวัง เขตพระราชฐาน อาคารศาสนสถาน (รอบปราสาทหิน) ปริมณฑลศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719223ae.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพลายเส้นของลวดลายบนกระเบื้องเชิงชาย ที่พบในเขตพระราชวังหลวง</p> <p align="justify">         ส่วนกระเบื้องแบบไม่เคลือบ เนื้อแกร่งไปจนถึงเนื้อดินเผา สีสันไม่สวยนัก ก็มักจะพบในพื้นที่ห่างไกลออกไปจากศูนย์กลางชุมชนแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผา อาจใช้ในศาสนสถานประจำชุมชน (สุรุก) ขนาดเล็ก อาคารราชการ อาคารทางศาสนาภายนอกปราสาทใหญ่ บ้านเรือนของชนชั้นปกครอง ศาลา โดยเฉพาะศาลาเรือนไม้ที่ใช้ประโยชน์อยู่ร่วมกับปราสาทประเภทธรรมศาลา หรือร่วมกันกับปราสาทสุคตาลัยในกลุ่มอโรคยศาลา ก็จะพบเศษกระเบื้องดินเผาเนื้อสีไม่สวยนักกระจายตัวอยู่ทั่วไปครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e4bf.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว แบบมีเส้นคั่นกลาง</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทพลสงคราม</strong> (สุคตาลัยแห่งอโรคยศาลา) จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71926e9d.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว แบบต่าง ๆ</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทสามองค์ วัดพระพายหลวง</strong> จังหวัดสุโขทัย</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">          รูปแบบของกระเบื้องตัวผู้ กระเบื้องตัวเมียและบราลี จากในยุคพุทธศตวรรษที่ 14 – 18 ยังคงมีรูปทรงลักษณะและทำหน้าที่ที่คล้ายคลึงกันมาโดยตลอด ต่างจากกระเบื้องเชิงชาย ที่ถึงแม้ว่าจะถูกใช้อุดช่องกระเบื้องที่ชายคารวมทั้งใช้เป็นกระเบื้องประดับตกแต่งเหมือนกับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับอิทธิพลมาจากช่างชาวจีน แต่ก็มี <strong>“ศิลปะลวดลาย”</strong> ที่งดงาม หลากหลายกว่าเครื่องกระเบื้องดินเผาชนิดอื่น ๆ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924750.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว แบบมีสันนูนตรงกลาง</p> <p align="justify">ปลายด้านบนโค้งตวัดออกมาเล็กน้อย</p> <p align="justify">น้ำเคลือบขี้เถ้าพืชสีเขียวแบบ <strong>"เซลาดอน"</strong> .</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาในเขตบ้านสายโท 2</strong> อำเภอบ้านกรวด</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><strong>         กระเบื้องเชิงชายเป็นกระเบื้องดินเผา</strong>(ทั้งแบบเคลือบ ไม่เคลือบ และแบบดินเผาธรรมดา) รูปทรงสัณฐานส่วนใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานด้านล่างกว้าง แล้วโค้งมนสอบเข้าหากันแบบกลีบบัว ด้านหลังเป็นกระเบื้องลอนแบบเดียวกับกระเบื้องตัวผู้ โค้งเอียงไปตามมุมของโครงสร้างหลังคา (ตามมุมของจันทัน) มีเดือยเล็ก ๆ อยู่ข้างใต้ลอนเพื่อใช้ยึดเข้ากับกระเบื้องตัวเมีย ปลายกระเบื้องด้านหลังจะสอบเข้า เล็กกว่าด้านหน้า เพื่อสอดเข้ากับกระเบื้องตัวผู้ตัวด้านบนที่มีปลายลอนโค้งกว้างกว่า</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192aadd.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปแบบต่าง ๆ</p> <p align="justify">ทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบ รวมทั้งแบบเนื้อดินเผา.</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ บนเขาพนมกุเลน</strong></p> <p align="justify">อายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 - 17</p> <p align="justify">          ด้านหน้าของกระเบื้องเชิงชาย เป็นแผ่นตั้งตรง หรืออาจเอียงไปทางด้านหลังเล็กน้อย นิยมทำเป็นลวดลายต่าง ๆ ที่สวยงาม จะมีรูปอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยครับ</p> <p align="justify"><strong>         ลวดลายแรก ๆ ของกระเบื้องเชิงชาย</strong> <strong>ที่นิยมผลิตมากที่สุด</strong> หรือประมาณ 80 % ของลวดลายที่พบทั้งหมด เป็นกระเบื้องเชิงชาย<strong> “รูปกลีบบัว” (</strong><strong>Lotus petal eave tiles)</strong> ที่เก่าแก่ที่สุดก็อาจมีอายุอยู่ในปลายพุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ปรากฏอิทธิพลของเครื่องเคลือบจีนอย่างเป็นรูปธรรม ศิลปะของกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว ในยุคแรกพบจากการขุดค้นที่</p> <p align="justify"><strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ (Thnal Mrech)</strong> ซึ่งเป็นกลุ่มเตาบนเขาพนมกุเลน (Phnom Kulen) อายุอยู่ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งก็ได้พบชิ้นส่วนของกระเบื้องรูปกลีบบัวรูปแบบเดียวกันนี้ ที่<strong>ปราสาทพะโค (</strong><strong>Preah Ko Pr.)</strong><strong>ปราสาทบากอง (Ban kong Pr.)</strong> และบริเวณเมืองโบราณ <strong>“หริหราลัย”</strong>ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรในช่วงนั้นครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192a429.jpg" /></p> <p align="justify">รูปแบบจำลองของกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว</p> <p align="justify">ที่พบจาก<strong>ปราสาทพะโค</strong> อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920eff.jpg" /></p> <p align="justify">ชิ้นส่วนแตกหักของกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว</p> <p align="justify">คล้ายคลึงกับที่พบจาก<strong>ปราสาทพะโค</strong> ปะปนอยู่กับกระเบื้องเชิงชายลวดลายอื่น ๆ</p> <p align="justify">ที่พบจาก<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71926a05.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพลายเส้นของกระเบื้องเชิงชายที่พบใน<strong>เขตพระราชวังหลวง</strong></p> <p align="justify">ก็มีลวดลายเดียวกับกับที่พบที่ปราสาทพะโค</p> <p align="justify"><strong>         รูปแบบของกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว </strong>จะแบ่งออกเป็นสองแบบ คือ<strong>แบบตรงกลางนูนโค้งหรือนูนเป็นสัน</strong> บางชิ้นปลายกลีบบัวยอดแหลมด้านบนจะโค้งตวัดออกมาเล็กน้อย ด้านนอกอาจทำเป็นบัว 2 ชั้น ขอบนอกทำเป็นซุ้มฟันปลา ใบระกา กระหนกครีบสิงห์หรือลายเกสรบัว หรือทำเป็นรูปกลีบบัวซ้อนกลีบบัว มีเกสรเป็นรัศมี</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719201a4.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวสองชั้น ขอบนอกทำเป็นลายเกสรล้อมรอบ</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">ก่อนที่จะมีการขุดค้นทางโบราณคดีในปี 2006</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192c37b.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวตรงกลางนูน กลีบในทำเป็นลายเกสรม้วนล้อมรอบ</p> <p align="justify">ขอบนอกเป็นกลีบบัวอีกชั้น</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15 - 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/19/71921c35.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวสองชั้น ทั้งสองกลีบทำเป็นลายเกสรล้อม</p> <p align="justify">พบจาก<strong>แหล่งเตาตานี</strong> ทางทิศตะวันออกของเขาพนมบก</p> <p align="justify">อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15 - 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71929ce7.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201202/29/719273a0.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201202/29/7192abe5.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวตรงกลางนูน ขอบนอกเป็นลายเกสรม้วน</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15 - 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920d97.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวสามชั้นตรงกลางนูน</p> <p align="justify">ขอบนอกของกลีบด้านในทำเป็นลายเกสรม้วน</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาเผาในเขตจังหวัดบุรีรัมย์</strong></p> <p align="justify">อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><strong></strong><strong>         อีกแบบหนึ่ง ตรงกลางจะมีแนวเส้นคั้น</strong> แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน บางชิ้นมีเส้นกลางหรือแทรกลายลูกปะคำกลม(ละอองเกสร) มีลายเส้นรูปตัว U คว่ำ โค้งมนตรงส่วนยอดฝั่งละ 2 แถว บางทีก็มีการใส่ลวดลายของเกสรเข้าไปเป็นรัศมี 1 ชั้นหรือ 2 ชั้น ตรงปลายยอดแหลมของกลีบบัว บางชิ้นก็มีการทำเป็นรูปโค้งงอออกมาเล็กน้อย รูปแบบนี้จะพบในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 16 เสียเป็นส่วนใหญ่</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192c6f3.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวแบ่งเป็นแนวตรงกลาง ขอบนอกเป็นลายเกสรหรือใบระกา</p> <p align="justify">พบที่<strong>บริเวณปราสาทหินพิมาย</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920b04.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวแบ่งเป็นแนวตรงกลาง ขอบนอกเป็นลายพวยรัศมีหรือใบระกา</p> <p align="justify">พบที่<strong>บริเวณปราสาทหินพิมาย</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925743.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192ca4a.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวแบ่งเป็นแนวตรงกลาง</p> <p align="justify">บางชิ้นทำเป็นรูปคล้ายลายลูกปะคำหรืออาจเป็นลายเม็ดเกสร</p> <p align="justify">ขอบนอกเป็นลายพวยกนก รัศมีหรือใบระกา</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทบ้านหนองแฝก (สุคตาลัยแห่งอโรคยศาลา)</strong> จังหวัดชัยภูมิ</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192f5df.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวแบ่งเป็นแนวตรงกลาง</p> <p align="justify">ขอบนอกเป็นกนกลายพวยใบไม้ม้วน ด้านล่างทำเป็นลายรัดกระบัง</p> <p align="justify">มีรัศมีเป็นรูปกนกลายใบไม้</p> <p align="justify">พบที่<strong>บริเวณเมืองโบราณลพบุรี</strong></p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         ลวดลายศิลปะของกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว ได้รับความนิยมนำแกะสลักเลียนแบบบนคานหินทราย ที่ใช้รองรับหลังคาทั้งแบบหลังคาโครงไม้มุงกระเบื้องและแบบหลังคามุงหิน ต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน จนมีคำเรียกส่วนประกอบของผนังที่ยื่นโค้งออกมาด้านบนและด้านล่างว่า <strong>“คิ้วบัว”</strong> หรือ <strong>“บัวติดผนัง”</strong> (ทั้ง ๆ ที่ ไม่เห็นจะเหมือนรูปบัวตรงไหน) ไงครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71922a52.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักเลียนแบบกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว บนคานหินแยกจากชั้นหลังคา</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทพระวิหาร </strong>ต้นพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify">.<img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71923467.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักเลียนแบบกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัว บนคานหินแยกจากชั้นหลังคา</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทเมืองต่ำ </strong>กลางพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify">          ที่ได้รับความนิยม นำมาทำเป็นลวดลาย ประดับชายหลังคาปราสาท ก็คงเป็นเพราะ <strong>“คติความเชื่อ”</strong> ของฮินดู ที่เชื่อว่า <strong>“กลีบบัวทั้ง 8 (</strong><strong>Eight Lotus Petal)</strong> นั้น แทนความหมายของ <strong>"มูรติทั้ง 8"</strong> หรือ<strong> </strong><strong>“อัษฏมูรติ”</strong> อันเป็นส่วนประกอบของพลังแห่งพระศิวะ ประกอบด้วย ศรี วุฒิ พินาศ สัญจร การถูกขโมย โรคา ยศศักดิ์ ความรุ่งเรืองและอายุขัย กลีบบัวมีความหมายถึง <strong>“ความอุดมสมบูรณ์ - ความมงคล” </strong>เพราะดอกบัวเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ เช่นกรณีการเกิดของดอกบัวที่สะอาดบริสุทธิ์เหนือโคลนตมตามธรรมชาติ การถือดอกบัวและการเสด็จออกมาจากดอกปทุมาของพระนางลักษมี ในรูป <strong>“อภิเษกพระศรี”</strong>เป็นสัญลักษณ์ของความงาม โชคลาภ ความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ เราจะพบเห็นรูปสลักของเทพเจ้าถือบัวขาบ นั่งบนหน้ากาล หรือนางอัปสราถือแซ่จามรและถือบัวขาบอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคลบนสรวงสวรรค์ อยู่ตามปราสาทหินทั่วไป</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921cb4.jpg" /></p> <p align="justify">ลอยตัว รูปสลักลวดลายกลีบบัวสองชั้น เลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย บนหินชิ้นเดียวกับหลังคา</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทบันทายสรี </strong>กลางพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71929897.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักลอยตัว ลวดลายกลีบบัวสองชั้นเลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย บนคานหินแยกจากชั้นหลังคา</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทพนมวัน</strong> ปลายพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925a8d.jpg" /></p> <p align="justify">โกลนของรูปสลักลอยตัว ลวดลายกลีบบัวเลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย บนคานหินแยกจากชั้นหลังคา</p> <p align="justify"><strong>เนินนางอรพิม ใกล้กับปราสาทพนมวัน</strong> ต้นพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">          ในอีกหลายความหมาย รูปของบัวบานที่มีกลีบแยกมักจะถูกสร้างสรรค์แกะสลักให้รองอยู่ใต้พระบาทของเหล่าเทพเจ้า แทนความเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และถือกำเนิดด้วยความบริสุทธิ์ ลวดลายกลีบบัวทั้งที่เป็นหินสลักและกระเบื้อง จึงถูกใช้เพื่อแทนความหมายของ ขอบเขตแห่งศูนย์กลางของความศักดิ์สิทธิ์ ความบริสุทธิ์ ความเป็นมงคลของศูนย์กลางแห่งจักรวาลอันเป็นเป็นที่ประทับของเทพเจ้า ซึ่งนั่นก็คงหมายถึงตัวอาคารศาสนสถานที่สร้างขึ้นนั่นเอง</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192d94e.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักลวดลายกลีบบัวสองชั้นเลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย บนคานหินแยกจากชั้นหลังคา</p> <p align="justify">มุมระเบียงคดฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ <strong>ปราสาทพนมรุ้ง</strong> ต้นพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719294af.jpg" /></p> <p align="justify">รูปสลักลวดลายกลีบบัวสองชั้นเลียนแบบกระเบื้องเชิงชาย บนคานหินแยกจากชั้นหลังคา</p> <p align="justify">เคลื่อนย้ายมาจากปราสาทเมืองต่ำมาใช้ประกอบปราสาทในยุคหลัง</p> <p align="justify"><strong>ที่ปราสาทกุฏิฤาษีบ้านโคกเมือง</strong> อายุรูปสลักกลีบบัวอยู่ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><strong>          ลวดลายของกระเบื้องเชิงชายแบบที่สอง</strong> คือ รูป<strong> “ฤๅษี (</strong><strong>Rishi)</strong><strong> ในซุ้ม”</strong> เป็นรูปของฤๅษี ในท่านั่งแบบ “โยคาสนะ” (นั่งชันเข่าและไขว้เท้า) กลางซุ้มโค้งปลายยอดแหลมชั้นเดียวจนถึงหลายชั้น ด้านนอกทำเป็นลวดลายใบไม้ม้วน ลายฟันปลา หรือลายไข่ปลา เดินเส้นขอบชั้นเดียวถึงหลายชั้น ขอบด้านนอกสุดทำเป็นแง่ง สลับฟันปลาคล้ายลายใบไม้หยัก กระเบื้องเชิงชายลวดลายรูปฤๅษี นี้ เคยพบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ (</strong><strong>Thnal Mrech)</strong> บนเขาพนมกุเลน และที่<strong>ปราสาทพนมวัน (</strong><strong>Phanom Wan Pr.)</strong> จังหวัดนครราชสีมา อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719210bb.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายรูปฤๅษี</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ (</strong><strong>Thnal Mrech)</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71922b9b.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายรูปฤๅษี</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา</strong></p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><strong>         ลวดลายของกระเบื้องเชิงชายแบบที่สาม</strong> เป็นรูป <strong>“ลายพรรณพฤกษา”</strong> เป็นกระเบื้องเชิงชายที่ไม่พบบ่อยนัก มีหลากหลายลวดลาย แบบที่เคยพบบนเขาพนมกุเลน เป็นกระเบื้องเชิงชายที่มีน้ำเคลือบขี้เถ้าพืช ลายใบไม้ม้วน 4 แถบ สัณฐานรูปทรงคล้ายกระจังใบเทศสามเหลี่ยม อายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งก็อาจเป็นรูปแบบเชิงชายที่มีความเก่าแก่ที่สุดเลยก็ได้ ? ครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71929ba7.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายพรรณพฤกษา</p> <p align="justify">พบที่แหล่งเตาบนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 14</p> <p align="justify">         ส่วนลายพรรณพฤกษาอีกแบบเป็นลายใบไม้ ที่มีแบบแผนรูปทรงเดียวกับกลีบบัว แต่เพิ่มเติมลวดลายคล้ายมาลัยถักเข้าไป ขอบด้านนอกทำเป็นแง่งฟันปลาหรือเปลวใบไม้หยัก ลอยตัวเรียงขึ้นไปด้านบน อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 15 พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ (</strong><strong>Thnal Mrech)</strong></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71920eff.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายพรรณพฤกษา</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาทะนอล มะเลจ (</strong><strong>Thnal Mrech)</strong> บนเขาพนมกุเลน</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify">         กระเบื้องเชิงชายลวดลายพรรณพฤกษาที่งามที่สุด น่าจะเป็นกระเบื้องเชิงชายเคลือบที่พบในบริเวณเขต<strong>พระราชวังหลวง (</strong><strong>Royal Palace)</strong>แห่ง<strong>ศรียโศธรปุระ</strong> ที่มีลวดลายและรัศมี เป็นรูปโครงสร้างแบบกลีบบัวหรือเค้าโครงของกระจังหู ผสมลวดลายใบไม้ หรือกนกครีบสิงห์ ด้านล่างทำเป็นรูปคล้ายดอกจำปี ด้านนอกทำเป็นแง่งฟันปลาหรือเปลวใบไม้หยัก ลอยตัวเรียงแถวขึ้นไปด้านบน อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719272ed.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายพรรณพฤกษา</p> <p align="justify">พบที่<strong>บริเวณพระราชวังหลวง (Royal Palace)</strong></p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192615a.jpg" /></p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192bc40.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายพรรณพฤกษา</p> <p align="justify">พบที่<strong>บริเวณฐานพลับพลาช้าง(The Terrace of Elephants)</strong></p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><strong>         กระเบื้องเชิงชายรูปแบบที่สี่</strong> เป็นศิลปะลวดลายของ<strong> “ครุฑยุดนาค”  (</strong><strong>Garuda fighting Naga</strong><strong>)</strong> ที่จะพบมากในกลุ่มเตาเขตเขมรสูง (อีสานใต้) ในพื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของราชวงศ์มหิธรปุระ นับจากลพบุรี พิมาย พนมรุ้ง ไปตามเส้นทางราชมรรคาลงไปสู่เขตเขมรต่ำ อายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><strong>         กระเบื้องเชิงชายรูปครุฑยุคนาค</strong> น่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงที่อาณาจักรกัมพุชเทศ ได้รับอิทธิพลทางความเชื่อในลัทธิ <strong>“ไวษณพนิกาย”</strong> (ถือพระวิษณุเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่) เปลี่ยนแปลงจากคติความเชื่อเดิม ที่เคยเป็นแบบถือพระศิวะเป็นใหญ่ (ไศวะนิกาย)และถือเทพเจ้าสามองค์เป็นใหญ่ (ลัทธิตรีมูรติ) ลวดลายครุฑที่มีความหมายถึงพลังอำนาจลึกลับของ <strong>“เทวะสัตว์”</strong> ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมวลสัตว์โลก ปรากฏเรื่อราวในวรรณกรรมโบราณ ที่กล่าวถึงครุฑผู้รับใช้ ผู้ช่วยเหลือพระวิษณุ หรือเป็นสัญลักษณ์แทนพระวิษณุ รวมทั้งเรื่องของการต่อสู่ระหว่างครุฑกับนาค ที่ปรากฏในวรรณกรรมโบราณ ที่ได้เล่าถึงเรื่องราวของครุฑที่ต้องไปขโมยน้ำอมฤตเพื่อนำมาไถ่ตัวมารดาจากพวกนาค จนกลายเป็นศัตรูที่จะต้องต่อสู้กัน และครุฑที่รับพรจากพระอินทร์เป็นฝ่ายชนะและจับนาคกินเป็นอาหาร</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192e678.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายครุฑยุดนาค</p> <p align="justify">พบจาก<strong>แหล่งเตาบ้านสายโท 2</strong> อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><strong>         รูปของครุฑยุคนาคในความหมายของผู้มีพลังยิ่งใหญ่</strong> (เหนือนาค เทวดาและพระอินทร์) และความหมายแห่งองค์พระวิษณุ (ที่เท่าเทียมกัน) จึงถูกนำมาแกะสลักที่เชิงชายหินประดับระเบียงของหลังคาปราสาทนครวัด ปราสาทเบงเมเลีย มหาปราสาทขนาดใหญ่ 2 แห่งที่สร้างขึ้นตามคติความเชื่อในลัทธิไวษณพนิกาย กระเบื้องเชิงชายรูปแบบนี้ ถูกผลิตขึ้นใช้ในช่วงระยะเวลาไม่นานนัก เพื่อมาทดแทน สับเปลี่ยนกระเบื้องเชิงชายรูปแบบเดิม ประดับตกแต่งเรือนหลังคาปราสาทหิน ที่สร้างขึ้นตามคติเดียวกัน หรือปราสาทที่มีการบูรณะซ่อมแซมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         ในยุคหลังก็ยังมีการสร้างกระเบื้องเชิงชายในรูปแบบ <strong>“ครุฑ”</strong> แต่ก็ไม่นิยมทำเป็นรูปครุฑยุดนาคอย่างในยุคก่อน ตัวอย่างเช่น กระเบื้องเชิงชายรูปครุฑ ? ดินเผา ที่พบจากการขุดค้นที่ปราสาทพลสงคราม (ปราสาทสุคตาลัยแห่งอโรคยศาลา) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นในท้องถิ่น เป็นรูปครุฑแบบง่าย ๆ ขอบด้านนอกทำเป็นรูปหยักแบบฟันปลา รูปทรงสามเหลี่ยมแบบกระจังตาอ้อย อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71921be9.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายครุฑ</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทพลสงคราม</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify"><strong>         ลวดลายศิลปะของกระเบื้องเชิงชายแบบที่ห้า</strong> เป็นรูป <strong>“นาคสามเศียร”</strong> อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 17 พบจาก<strong>แหล่งเตาบ้านโนนสว่าง – บ้านโคกกลอย </strong>จังหวัดบุรีรัมย์ มีลักษณะเดียวกันกับกระเบื้องรูปครุฑยุคนาค คือจะพบอยู่ในเขตอิทธิพลของราชวงศ์มหิธระปุระ นับจากลพบุรี พิมาย พนมรุ้ง ไปตามเส้นทาราชมรรคาลงไปสู่เขมรต่ำ กระเบื้องจากแหล่งเตาเผาที่บ้านโนนสว่าง น่าจะถูกนำไปใช้กับอาคารเรือนเครื่องไม้ที่สร้างอยู่โดยรอบปราสาทหินพนมรุ้งและศาสนสถานในยุคพุทธศตวรรษที่ 17 ที่อยู่ใกล้เคียงกับเส้นทางราชมรรคา</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924229.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายนาคสามเศียร</p> <p align="justify">พบจาก<strong>แหล่งเตาบ้านโนนสว่าง - โคกกลอย</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192bdfe.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายนาคสามเศียร</p> <p align="justify">พบจาก<strong>แหล่งเตาบ้านโนนสว่าง - โคกกลอย</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">          ตามคติของฮินดู<strong> “นาค”</strong> จะมีความหมายถึง <strong>“ความอุดมสมบูรณ์</strong>” เพราะเป็นเทวะสัตว์ที่เกี่ยวพันกับน้ำ การเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ธัญญาหารและผลผลิตที่เพิ่มพูน อีกทั้งเรื่องราวของ <strong>“พญาอนันตนาคราช”</strong> ที่ขดตัวเป็นแท่นบรรทมของพระวิษณุก็แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจ ในคติความเชื่อของไศวนิกายถือว่านาคเมื่อยามแสดงอิทธิฤทธิ์ จะกลายเป็น <strong>“สะพานสายรุ้ง”</strong> เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ การนำรูปของนาคมาใช้เป็นลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายประดับอาคารศาสนสถาน จึงมีความหมายถึงอำนาจของนาค ที่นำมาไปสู่ความสูงศักดิ์ อำนาจ ความอุดมสมบูรณ์ และแสดงการข้ามเข้าสู่เขตสรวงสวรรค์สมมุติ นั่นก็คือการเข้าไปในศาสนสถานแห่งเทพเจ้า (พระศิวะ – ตรีมูรติ) นั่นเอง</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71928d5b.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายนาคสามเศียร</p> <p align="justify">พบจาก<strong>แหล่งเตาบ้านโนนสว่าง - โคกกลอย</strong> จังหวัดบุรีรัมย์</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify"><strong>         กระเบื้องเชิงชายแบบที่หก</strong> เป็นลวดลายของ <strong>“เทพยดา”</strong> เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะนิยมทำเป็นรูปหน้าของทวารบาลหรืออสูร รูปเทวาหรือเทวดาส่วนใหญ่จะเริ่มมานิยมในยุคหลัง โดยจะทำเป็นรูปเทพพนม ตัวอย่างที่พบที่<strong> "ปราสาทราชวิหารแห่งวิษัยศรีชยะราชปุระ"</strong> (ในเขตวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชบุรี) เป็นชิ้นส่วนกระเบื้องเคลือบรูปบุคคล มีเครื่องประดับ ยกมือขึ้นประนมอยู่กลางพระอุระ อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 และชิ้นส่วนกระเบื้องเชิงชาย ที่เคยใช้ประดับศาสนาสถานในคติวัชรยาน ที่สิ้นสภาพไปแล้วในเขตภาคกลางของลุ่มเจ้าพระยา ทำเป็นรูปบุคคลใบหน้าแบบบายน สวมศิราภรณ์เป็นกระบังหน้า เหนือขึ้นไปมีลายใบระกา รัศมีหรือฟันปลา ด้านล่างหักหายไป ซึ่งก็น่าจะเป็นรูปประนมหัตถ์ที่กลางพระอุราแบบเดียวกับที่พบที่ราชบุรี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ศิลปะแบบช่างหลวงเมืองพระนครผสมผสานช่างท้องถิ่น</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719258e3.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายเทพยดาประนมหัตถ์กลางพระอุระ</p> <p align="justify">พบจาก<strong>การขุดค้นทางโบราณคดี บริเวณวัดมหาธาตุราชบุรี</strong></p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">          จากรูปแบบของเทพยดา ทั้งสองและรูปแบบกระเบื้องแบบเดียวกัน (ส่วนใหญ่จะแตกละเอียด ยังหาแบบสมบูรณ์ไม่พบ ?) อาจเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสู่ช่างในยุคหลัง ที่เข้ามาครอบครองพื้นที่ปราสาทราชวิหารในยุคบายน แปลงไปเป็นพระธาตุในคติเถรวาท รูปบุคคลยกมือไหว้จึงถูกดัดแปลงกลายเป็นกระเบื้องเชิงชายลวดลายศิลปะรูปเทพพนมและลวดลายพรรณพฤกษา ในช่วงเวลาต่อมา</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192b969.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายเทพยดา (ภาพตกแต่ง)</p> <p align="justify">พิพิธภัณฑสถานชัยนาทมุนี จังหวัดชัยนาท</p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">         ความหมายของรูปเทวดาประนมหัตถ์วันทา อาจหมายถึงภาพของบุคคลที่หลุดพ้น บรรลุโพธิญาณขึ้นเป็นเทวดาบนสรวงสวรรค์ หรือเป็นภาพของเหล่าเทพยดา – พระโพธิสัตว์ที่กำลังถวายนมัสการแก่อาทิพุทธเจ้าในคติความเชื่อแบบวัชรยาน หรือ อาจแทนความหมายของซุ้มบัญชร วิมานที่ประทับของเหล่าเทพยดา –มานุษิโพธิสัตว์ ที่มีอยู่มากมายใน<strong>สรวงสวรรค์</strong> <strong>จักรวาลแห่งพุทธะ</strong>หรือ <strong>ยันตรมณฑล (</strong><strong>Mandala)</strong> ซึ่งก็สอดคล้องกับกระเบื้องเชิงชายรูปเทพยดาที่เรียงรายบนอาคารในศาสนาสถาน ที่ถูกสมมุติให้เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล</p> <p align="justify"><strong></strong><strong>         ลวดลายแบบที่เจ็ด</strong> คือกระเบื้องเชิงชาย <strong>“รูปอสูร”</strong> เป็นรูปแบบที่อาจได้รับอิทธิพลผสมมาจากทั้งคติความเชื่อจากทางจีนและอินเดีย ลวดลายอสูรเป็นลักษณะของใบหน้าของบุคคล ที่มีปากหนา คิ้วหนา ตาโปนใหญ่ สวมศิราภรณ์ หรือเครื่องประดับศีรษะ ส่วนใหญ่ทำโครงร่างของกระเบื้องเป็นรูปทรงกลีบบัว หรือรูปเกือบกลม คล้ายกระเบื้องเชิงชายของจีนและกลุ่มชุมชนโบราณชายฝั่งทะเลในเวียดนาม กระเบื้องเชิงชายรูปลายนี้พบกระจายตัวอยู่ในเขต กลุ่มชุมชนโบราณใกล้แนวเทือกเขาพนมดงรัก ชุมชนรอบเขาพนมรุ้ง พิมาย ไปตามเส้นทางราชมรรคาไปจนถึง <strong>“ใกล้”</strong> เขตเมืองพระนครหลวง เลยไปจนถึงเมืองพระนครกลับไม่พบกระเบื้องรูปแบบนี้</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925c3a.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายหน้าอสูร - ทวารบาล</p> <p align="justify">ขอบนอกทำเป็นลายรัศมีหรือใบระกา</p> <p align="justify">พบที่<strong>แหล่งเตาเผาในเขตจังหวัดบุรีรัมย์</strong></p> <p align="justify">อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192f18b.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายหน้าอสูร - ทวารบาล</p> <p align="justify">ขอบนอกทำเป็นลายรัศมีหรือลายกนกม้วน</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทพนมวัน</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 16</p> <p align="justify"><strong>         ความหมายของลวดลายหน้าอสูรบนกระเบื้องเชิงชาย</strong>นี้ อาจมีได้ 2 นัยยะ คือ ความหมายในคัมภีร์ปุราณะ ที่อธิบายว่า มีเหล่า <strong>“อสูร – ยักษ์ – อสุรา”</strong> ผู้ยิ่งใหญ่ มีตบะแกร่งกล้า เป็นสาวก(ลูกน้อง)แห่งพระศิวะ ที่มีพลังอำนาจ ดูน่ากลัว นิยมนำมาสลักไว้ในเขตปริมณฑลศักดิ์สิทธิ์ เพื่อคอยเตือนใจให้ผู้แสวงบุญได้รู้สึกเกรงกลัว สำรวม ไม่รุ่มร่าม ไม่กล้าลบหลู่เหล่าทวยเทพ คอยปกป้องมิให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามารบกวนแก่สาธุชนในศาสนสถานแห่งพระผู้เป็นเจ้า</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192aecf.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายหน้าอสูร - ทวารบาล</p> <p align="justify">ขอบนอกทำเป็นลายรัศมีหรือลายกนกม้วน</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทหินพิมาย</strong> จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         ในอีกความหมายหนึ่ง คติของการนำรูปอสูรมาประดับไว้ในอาคารศาสนสถาน อาจแทนความหมายของรูปยักษ์ <strong>“ทวารบาล”</strong> ที่คอยเฝ้าปกปักษ์ศาสนสถาน ซึ่งอาจหมายถึงรูปของ <strong>อสูรทวารบาล </strong><strong>“นันทิเกศวร”</strong> ผู้ปกปักษ์แห่งพระศิวะ ตามคติไศวะนิกาย ก็เป็นได้ครับ</p> <p align="justify"><strong>         ศิลปะลวดลาย บนกระเบื้องเชิงชายแบบที่แปด</strong> คือรูป <strong>“พระศิวะ”</strong>เป็นกระเบื้องเชิงชายทรงสามเหลี่ยมปลายโค้งมนคล้ายกลีบบัวหรือคล้ายทรงกระจังใบเทศ ลวดลายหน้าบุคคลสวมศิราภรณ์ มีสามตา อันมีความหมายถึงพระศิวะ นอกจากจะเป็นรูปของพระศิวะแล้ว ก็อาจเป็นรูปของอสูร <strong>“นนทิเกศวร”</strong>ทวารบาลผู้กำเนิดจากสีข้างพระศิวะ เป็นกระเบื้องเชิงชายที่หาได้ยากถึงยากมาก และอาจถูกผลิตตาม Order เฉพาะพื้นที่เพียงครั้งเดียว ไม่พบในแหล่งเตาฝั่งเขมรต่ำที่เลยจากกลุ่มชุมชนโบราณตามแนวเทือกเขาพนมดงรักลงไป แต่จะพบในเขตอีสานใต้ โดยเฉพาะในแหล่งเตาเขตอำเภอละหานทราย บ้านกรวด ประโคนชัย และพื้นที่ชุมชนโบราณใกล้เขาพนมดงรักในเขตจังหวัดอุดงมีชัยและบันเตยเมียนเจยของประเทศกัมพูชา ตัวอย่างของกระเบื้องรูปแบบนี้ ได้มาจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่ <strong>“กู่บ้านปราสาท”</strong><strong>(Ku Ban Prasat Pr.)</strong> จังหวัดนครราชสีมา เป็นปราสาทเก่าแก่มีอายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15 ศิลปะแบบปราสาทแปรรับ ตัวของปราสาทถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานตามคติความเชื่อไศวะนิกาย ที่ถือให้พระศิวะเป็นยิ่งใหญ่ที่สุดบนสรวงสวรรค์ สอดคล้องกับการพบ กระเบื้องเชิงชายรูปพระศิวะ กระเบื้องหน้าทวารบาลรูปกลมแบบมีน้ำเคลือบ ? และกระเบื้องรูปกลีบบัวแห่งมูรติที่ขุดพบภายในบริเวณรอบพื้นที่ปราสาท</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192ed5a.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายกลีบบัว พระศิวะและหน้าอสูร - ทวารบาล</p> <p align="justify">พบที่<strong>ปราสาทกู่บ้านปราสาท </strong>อำเภอโนนสูง<strong> </strong>จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192b7d6.jpg" /></p> <p align="justify">ทับหลังในศิลปะแบบแปรรับบนซุ้มประตูปราสาทประธาน</p> <p align="justify"><strong>ปราสาทกู่บ้านปราสาท </strong>จังหวัดนครราชสีมา</p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify"><strong>         ลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายแบบที่เก้า</strong> เป็นภาพของ <strong>“พระอมิตาภะ”</strong>ปางสมาธิ ประทับเหนือดอกบัว ในซุ้มเรือนแก้ว หรือซุ้มฟันปลา ตามคติพุทธศาสนาแบบวัชรยาน – ตันตระ รูปแบบของพระอาทิพุทธเจ้าในซุ้มอานุภาพหรือเรือนแก้วนี้ ปรากฏงานศิลปะเด่นชัดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่นิยมสร้างรูปพระพุทธเจ้าในรูปแบบนี้ ใช้ประดับทับหลังกำแพงหรือทับสันหลังคา เป็นจำนวนมาก แพร่หลายไปทั่วบ้านเมืองที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิบายน</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925285.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลายพระพุทธเจ้า <strong>"อมิตาภะ"</strong></p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15</p> <p align="justify">ขอบนอกทำเป็นลายรัศมีอานุภาพหรือลายฟันปลา</p> <p align="justify">อายุในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">         ตัวอย่างรูปกระเบื้องเชิงชายแบบนี้ที่เคยมีการพบ เป็นรูปของพระอมิตาภะ – อาทิพุทธเจ้า ประทับนั่งสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองข้างประสานกันบนพระเพลา สวมกระบังหน้าเป็นรูปวงโค้ง มีมวยพระเกศาทรงมงกุฎรูปกรวย ที่ปลายพระกรรณทรงกุณฑลลูกตุ้มคล้ายดอกบัวตูม ประทับอยู่เหนือดอกบัวที่แยกเป็น 3 กลีบ มีความหมายว่า ทรงเป็น <strong>“พระผู้ที่กำเนิดขึ้นมาจากความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”</strong></p> <p align="justify"><strong></strong><strong>         ลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายแบบที่สิบ</strong> เป็นรูป <strong>“นางอัปสรา”</strong> ไม่ค่อยปรากฏรูปแบบกระเบื้องเชิงชายลวดลายนี้ ในเขตประเทศกัมพูชาและอีสานใต้ ส่วนในประเทศไทยก็พบไม่มากนัก ที่ขุดพบอย่างเป็นระบบโบราณคดี คือ กระเบื้องเชิงชายดินเผา (ไม่เคลือบ) ที่บริเวณวัดมหาธาตุเมืองเชลียง จังหวัดสุโขทัยครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71924254.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลาย <strong>"นางอัปสรา"</strong></p> <p align="justify">พบที่วัดมหาธาตุเมืองเชลียง จังหวัดสุโขทัย</p> <p align="justify">อายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 - ต้นพุทธศตวรรษที่ 19</p> <p align="justify">         รูปของนางอัปสรา มือซ้ายถือบัวขาบ มือขวาถือเครื่องสูง (แส้จามร ?) สวมศิราภรณ์เป็นกระบัง ยกสูง มีรัศมี (ใบระกา – ฟันปลา) ล้อมรอบที่ดูแปลกไปจากศิลปะแบบบายน หรือสมัยหลังบายน ซึ่งก็อาจจะถูกผลิตขึ้นเป็นการเฉพาะ จากคติความเชื่อผสมระหว่าง นางอัปสรา นางฟ้า – ผู้รับใช้บนสรวงสวรรค์ตามคติฮินดูและเทพสตรีในคติของเถรวาท ในช่วงปลายอำนาจของจักรวรรดิบายนในภูมิภาคสุโขทัย ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19</p> <p align="justify">          รูปนางอัปสรา ในศิลปะและความเชื่อของช่างเขมรโบราณ เป็นภาพมงคลที่จะถูกนำมาสลักประดับไว้บนผนังอาคาร หรือข้างประตูทางเข้า เพื่อสร้างการ<strong>“สมมุติ”</strong> ให้กับศาสนสถานแห่งนั้นว่าเป็น <strong>“สรวงสวรรค์”</strong> หรือ <strong>“ภูมิจักรวาล”</strong> ที่ประทับของเหล่าเทพเจ้าบนพื้นพิภพ จึงมักมีรูปนางอัปราปรากฏให้เห็นอยู่ตามปราสาททั่วไป อย่างเช่น อัปสราพันนางที่ปราสาทนครวัด ปราสาทบายน ปราสาทาบาปวน ไปจนถึงปราสาทอิฐขนาดเล็กในยุคเริ่มแรกอย่างปราสาท <strong></strong><strong>“ตระเปรียงรุน” (Trapreng run Pr.)</strong> (สนใจเรื่องของนางอัปสรา ก็ขอเชิญไปอ่านในEntry ก่อนหน้าครับ)</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/19/7192a706.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพสลักนูนต่ำ รูป<strong>"นางอัปรา"</strong>บริเวณฝั่งด้านในของอาคารโคปุระชั้นนอก</p> <p align="justify">ของ<strong>มหาปราสาทนครวัด</strong></p> <p align="justify">อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17</p> <p align="justify">         มาถึงในยุค <strong>“ถดถอย”</strong> ทางศิลปะในช่วงหลังสมัยบายน การสร้างลวดลายบนผนังอาคารศิลาแลงที่มีการฉาบปูน อาจขาดแคลนด้วยช่างฝีมือแกะสลักและช่างปูนปั้น จึงน่ามีการย้ายรูปมงคล ตัวแทนแห่งสวรรค์อย่างรูปนางอัปสรา มาสร้างเป็นลวดลายไว้บนกระเบื้องเชิงชายประดับชายหลังคาแทนที่ ตามคติความเชื่อที่ยังสมมุติให้อาคารศาสนสถาน (เช่นวัดมหาธาตุเมืองเชลียง) เป็นสรวงสวรรค์แห่งพระพุทธองค์ (เถรวาท – วัชรยาน) อันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์เหมือนในยุคก่อน</p> <p align="justify"><strong>         รูปแบบที่สิบเอ็ดของศิลปะแห่งกระเบื้องเชิงชาย</strong> เป็นลวดลายของ<strong>“หน้ากาล”</strong> หรือ<strong> “เกียรติมุข”</strong> เป็นกระเบื้องแบบที่พบมากหรืออาจจะพบเฉพาะในเขตชุมชนโบราณ แถบอีสานใต้ มาจรดยังลุ่มน้ำเจ้าพระยา ไม่พบในเขตเขมรต่ำ (?) หรือกลุ่มเมืองพระนคร</p> <p align="justify">         ลักษณะของหน้ากาลเป็นเหมือนสัตว์ประหลาด หน้าคล้ายสิงห์แต่ไม่มีปากหรือขากรรไกรล่าง <strong>“กาล”</strong> เกิดขึ้นจากอำนาจแห่งความโกรธแห่งองค์พระศิวะ ที่ขมวดพระขนง (คิ้ว) เพราะความโกรธ ในครั้งที่อสูรราหูเข้ามาท้ารบ เมื่อไม่มีคู่ต่อสู้ <strong>“ความโกรธ” </strong>ของพระองค์ จึงได้กัดกินตัวเองแม้กระทั้งขากรรไกรจนหมดสิ้น เหลือแต่ท่อนหัวบนลอยไปมา เมื่อพระศิวะได้เห็นอานุภาพแห่ง <strong>“กาล”</strong> หรือแปลว่า <strong>“เวลา...ผู้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง”</strong> จึงมอบหมายหน้าที่ให้คอยปกปักษ์รักษา และเตือนใจเหล่าสาธุชนที่เข้ามายังศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ <strong>“ .....ต่อไปเจ้าจะได้ชื่อว่า “เกียรติมุข” (มุมมองอันทรงเกียรติ) จงเฝ้าสถิตอยู่ที่หน้าประตูวิมานของพ่อตลอดไป ผู้ที่ไม่เคารพเจ้า.... ก็จะไม่ได้รับพรอันประเสริฐจากพ่อ”</strong></p> <p align="justify">         หน้ากาลหรือเกียรติมุขจึงเป็นรูปแห่ง<strong> “ความมงคล”</strong> ที่มีหน้าที่เฝ้าศาสนสถานและเป็น<strong> “เกียรติ”</strong> ที่คอยตักเตือนมนุษย์ให้ละเว้นจากความโกธร ช่างศิลปะโบราณจึงได้นำลวดลายของหน้ากาล มาใส่ไว้บนกระเบื้องเชิงชาย ตามความหมายดังกล่าว</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192430a.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลาย <strong>"หน้ากาล - เกียรติมุข"</strong></p> <p align="justify">อายุในราวกลาง - ปลายพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี</p> <p align="justify">พบที่เมืองโบราณ <strong>"ศรีศัมพูกปัฏฏนะ"</strong> หรือ<strong> "จอมปราสาท"</strong> อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี</p> <p align="justify">         แต่ในยุคหลังพุทธศตวรรษที่ 19 เมื่ออิทธิพลของเถรวาท เข้ามาแทนที่อิทธิพลทางความเชื่อของวัชรยานตันตระ จากรูปแบบของหน้ากาลที่มีแต่หัว ช่างในยุคต่อมาก็ได้เปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นรูปของราหูอมจันทร์ ที่เป็นคติร่วมกันในเรื่องราวของเทพปกรณัมเรื่อง <strong>“พระราหูอมจันทร์”</strong> ของวรรณกรรมทางฝ่ายเถรวาท</p> <p align="justify"><strong>         กระเบื้องเชิงชายรูปแบบสุดท้าย (หรืออาจจะมีมากกว่านี้ ....ในอนาคต)</strong> เป็นลวดลายของ <strong>“หน้าสิงห์”</strong> ที่มีแฝงคอโดยรอบ ซึ่งได้รับอิทธิพลผสมผสานมาทั้งจากรูปศิลปะสิงโตของอินเดีย กับความเชื่อเรื่องสิงห์ เทวะสัตว์จากวัฒนธรรมจีน</p> <p align="justify"><strong>          เป็นที่น่าแปลกว่า</strong> ถึงแม้ว่าต้นทางศิลปะในวัฒนธรรมจีนลงมาถึงเวียดนามจะนิยมสร้างลวดลายหน้าสิงห์บนกระเบื้องเชิงชายมากที่สุด รวมถึงในเมืองพระนครหลวงก็เคยมีการแกะสลักรูปใบหน้าสิงห์หรือสิงห์ทั้งลำตัว บนปลายชายหลังคาหินเลียนแบบเช่นที่ปราสาทนครวัดก็ตาม แต่ลวดลายของศิลปะที่เป็นรูปหน้าสิงห์ในงานช่างกัมพุชเทศทุกสมัยนั้น กลับดูเหมือนว่าไม่ได้รับความนิยมเท่ากับกระเบื้องเชิงชายรูปกลีบบัวหรือรูปสลักหินรูปกลีบบัว ตามแบบคติความเชื่อหลักที่รับวัฒนธรรมมาจากอินเดีย มีความหมายอันเป็นมงคลเกี่ยวพันโดยตรงกับเทพเจ้าและสรวงสวรรค์ หรือมีกระบวนการผลิตได้ง่ายกว่ารูปของหน้าสิงห์</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/71925433.jpg" /></p> <p align="justify">กระเบื้องเชิงชายลวดลาย <strong>"หน้าสิงห์"</strong></p> <p align="justify">อายุในราวกลาง - ปลายพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี</p> <p align="justify">พบที่เมืองโบราณ <strong>"ศรีศัมพูกปัฏฏนะ"</strong> หรือ<strong> "จอมปราสาท"</strong> อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี</p> <p align="justify"><strong>เมื่อไม่ปรากฏชัดในเขตอีสานใต้และเขมรต่ำ</strong> ความโดดเด่นของกระเบื้องลวดลายนี้ จึงตกมาอยู่ที่กระเบื้องเชิงชายที่ขุดพบจากบริเวณเมืองโบราณ"<strong>ศรีศัมพูกปัฏฏนะ"</strong> ตรงปราสาทประธานกลางเมืองที่เรียกกันว่า <strong>“จอมปราสาท” (</strong><strong>Jom Prasat Ruin)</strong> อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นปราสาทที่ประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี ที่อยู่ในสภาพที่<strong> “เคย”</strong> ถูก <strong>“ตั้งใจ”</strong>ทำลายให้ยับเยิน นับเป็นกระเบื้องเชิงชายรูป <strong>“หน้าสิงห์”</strong> ในช่วงปลายของวัฒนธรรม – ศิลปะแบบบายน ในเขตลุ่มน้ำแม่กลอง - เจ้าพระยา ที่อาจมีความสวยงามที่สุดในศิลปะแบบเขมรเลยก็ว่าได้ครับ .....(ยกเว้นว่าจะมีคู่แข่ง หากหาเจอในอนาคต ? )</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/7192fa02.jpg" /></p> <p align="justify"><strong>"บราลี"</strong> ดินเผา เครื่องหลังคากระเบื้องของโครงสร้างหลังคาไม้</p> <p align="justify">อายุในราวกลาง - ปลายพุทธศตวรรษที่ 18</p> <p align="justify">จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี</p> <p align="justify">พบที่เมืองโบราณ <strong>"ศรีศัมพูกปัฏฏนะ"</strong> หรือ<strong> "จอมปราสาท"</strong> อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี</p> <p align="justify"><strong>           หน้าที่ตามคติความเชื่อของรูปสิงห์หรือสิงโตในวัฒนธรรมจีน</strong> เชื่อว่าสิงโตเป็นบุตรของมังกร มีอำนาจและพลังที่ยิ่งใหญ่ เป็นเทวะสัตว์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพียงเสียงคำรามหนึ่งก็สามารถขับไล่วิญญาณและสิ่งชั่วร้ายออกไปได้ สิงห์จึงได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้พิทักษ์แห่งสรวงสวรรค์ คอยปกปักษ์คุ้มครอง ผู้กระทำดี บ้านเรือนไปจนถึงศาสนสถาน</p> <p align="justify"><strong>           เช่นเดียวกับหน้าที่ของสิงห์ในวัฒนธรรมอินเดีย</strong> ที่มีความหมายคล้ายคลึงกันในเรื่องของอำนาจและความน่าเกรงขาม รูปสลักของสิงห์จึงถูกนำมาใช้ทำหน้าที่เฝ้าอยู่บริเวณบันได หน้าทางเข้าอาคารศาสนาสถาน เพื่อปกปักษ์คุ้มครองมิให้ <strong>“ความชั่วร้าย”</strong> ที่ติดอยู่ใน <strong>“ใจ”</strong> ติดตามมนุษย์เข้ามาในปริมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยครับ</p> <p align="justify"><img src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201112/18/719216c0.jpg" /></p> <p align="justify">ภาพการทดสอบประกอบเครื่องกระเบื้องหลังคาที่พบจากการขุดค้นที่แหล่งเตาตานี</p> <p align="justify">ทางทิศตะวันออกของเขาพนมบก</p> <p align="justify">มามุงเข้ากับโครงสร้างหลังคาเรือนเครื่องไม้จำลอง</p> <p align="justify"><strong>เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่า</strong></p> <p align="justify"><strong>ในอดีตเคยมีเครื่องไม้หลังคาประกอบอยู่ด้านบนของอาคารศาสนสถาน</strong></p> <p align="justify"><strong>รวมไปถึงบ้านเรือน ศาลา พลับพลาไปจนถึงพระที่นั่ง ....ปราสาทราชวัง</strong></p> <p align="justify"><strong>ทุกหนแห่งที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรกัมพุชเทศ</strong></p> <p align="justify"><strong>           มาถึงตรงนี้ ก็คงต้องถามท่านผู้อ่านกันแล้วละครับว่า</strong> เป็นอย่างไรกันบ้าง กับเรื่องราวมากมายของ <strong>“เครื่องไม้“</strong>ทั้งที่เป็น <strong>“โครงสร้างหลังคาประกอบปราสาทหิน เครื่องไม้ที่เป็นโครงสร้างของหลังคาปราสาท เรือนเครื่องไม้</strong> ตลอดจนไปถึงเรื่องราวของ<strong>กระเบื้อง เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา และศิลปะลวดลายอันงดงามของกระเบื้องเชิงชาย</strong> ที่ในปัจจุบันคือ <strong>“สิ่งที่สูญหาย” </strong>ไปเกือบทั้งหมดแล้ว</p> <p align="justify">           จริง ๆ ก็ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้สั้น ให้ง่าย ไม่ยืดยาวขนาดนี้ แต่ไม่รู้ยังไง ยิ่งเขียน ยิ่งขยายความ ยิ่งมากเรื่อง มากประเด็น คงเพราะในระหว่างการเรียบเรียงและเขียน เมื่อผมต้องยกตัวอย่างหรือ<strong> “ประเด็น”</strong> มันไปเกี่ยวพัน ก็มักอยากที่จะไปขยายเรื่อง เติมน้ำเข้าไปในเนื้อเรื่องแต่ละจุดให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งเนื้อหาและรูปภาพ</p> <p align="justify">          ก็อยากให้ท่านผู้อ่าน ที่ตั้งใจอ่านและสนุกสนานไปกับเรื่องราวในอดีตของ<strong>“เครื่องไม้”</strong> โบราณในวัฒนธรรมเขมร ได้มีมุมมองแบบกว้างไกลลิบโลก จากข้อมูลของร่องรอยหลักฐานและ <strong>“เหตุผล”</strong> ที่เพียงพอต่อการสร้าง<strong> “จินตนาการ”</strong>ยามเมื่อท่านได้ออกไปสัมผัสกับซากของ <strong>“สิ่งที่คงเหลือ”</strong> อยู่จริง</p> <p align="justify">          จากข้อมูล การชี้นำแบบอนุมานอย่างมีเหตุผลของเรื่อง ผมเชื่อว่าในวันนี้ หากเมื่ออ่านจบ ท่านจะสร้าง <strong>“จินตนาการ” และ “องค์ความรู้”</strong> ได้มากขึ้นกว่าเดิม</p> <p align="justify">          จากที่เพียงเคยเดินผ่าน สนุกสนานไปกับการถ่ายรูปและการฟังบรรยายเรื่องราวความเป็นมาทางศิลปะจากมัคคุเทศก์ <strong>จนอาจไม่เคยมองเห็นว่า ....อะไรที่หายไปและว่างเปล่าอยู่ตรงนั้น</strong></p> <p align="justify">ขอขอบคุณ: <a href="http://www.oknation.net/blog/voranai/2011/12/19/entry-2">http://www.oknation.net/blog/voranai/2011/12/19/entry-2</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-4904199044037057732012-07-05T16:57:00.001+07:002012-07-06T11:46:05.532+07:00บทแผ่เมตตาบารมี จากกัญญาณมิตรผู้หนึ่งที่ได้ไปทำบุญ ณ. วัดหลวงพ่อโอภาสี<p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeqFNiAwBUKdhT8pvpG3JR2mMcP9wHoEo6oQXNUPHO5_9w-Rcaa9dTfDwgmZlVG1QYwdsaJsImUTbWUaqS7iK_USybXL0RqY6Ki24Q5MKDt9ejh0Poh_wDQ57S4YxkhugaMtdcbwDSWXZJ/s1600-h/images%252520%2525288%252529%25255B4%25255D.jpg"><img style="display: inline" title="images (8)" alt="images (8)" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEBGXIpxkladkPGVWTcHO_c2dGyezbKt_A9rvmn35K6J1Mqw9YJp8Xu2cADZWCHZ5iFn9GwkVK4NcTbYdeolQi48gxRQQLLh_TtIp8kt8Fg6ihGZQOuOju1_LYujWA0lgCjErtYFRyIlAS/?imgmax=800" width="132" height="156" /></a> </p> <p align="justify">บทแผ่เมตตาบารมี ได้ไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อโอภาสี ไปพบป้าท่านนึงได้สนทนากับท่่านแล้วท่านบอกว่ามีบทแผ่เมตตาจะมอบให้ จะเลือกให้เฉพาะคนที่นำไปปฎิบัติจริงๆจึงจะเกิดผล มีเหลืออยู่ชุดเดียว แล้วก็มอบให้เอาไปแผ่เมตตาดู <font color="#ff8000">ท่านบอกอีกว่า</font> <font color="#80ff00">ขณะท่องให้ตั้งใจมีสติ สมาธิ จดจ่อกับบทที่ท่อง จะแผ่ไปได้ทั่วถึง ให้ทำติดต่อกันเป็นประจำจะดีมากๆ</font></p> <p align="justify">**************************************************************************************************</p> <p align="center"><font size="4"><font color="#80ff00"><b>เมตตาบารมี</b><b></b></font></font></p> <p align="center"><font color="#80ff00" size="4">(ให้เจริญสติระลึกรู้ขณะแผ่เมตตา)</font></p> <p><b>1. </b><b>พระพรหม</b><b></b></p> <p><b>2. </b><b>เทวดา</b><b></b></p> <p><b>3. </b><b>มนุษย์</b><b></b></p> <p><b>4. </b><b>พญานาค</b><b></b></p> <p><b>5. </b><b>สัตว์เดรัจฉาน</b><b></b></p> <p><b>6. </b><b>เปรตอสูรกาย</b><b></b></p> <p><b>7. </b><b>สัตว์นรก</b><b></b></p> <p><b></b></p> <p align="justify"><b>1. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศเหนือ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศใต้ ขอให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศใต้ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศตะวันตก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศเบื้องบน ขอให้พระพรหมที่อยู่ทางทิศเบื้องบน จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b></b></p> <p align="justify"><b>2. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เทวดา</b><b>ที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้เทวดาที่อยู่ทางทิศเหนือ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เทวดาที่อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้เทวดาที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เทวดา</b><b>ที่</b><b>อยู่ทางทิศใต้ ขอให้เทวดาที่อยู่ทางทิศใต้ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เทวดาที่</b><b>อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้เทวดาที่อยู่ทางทิศตะวันตก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>3. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้มนุษย์</b><b>ที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้มนุษย์ที่อยู่ทางทิศเหนือ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้มนุษย์</b><b>ที่อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้มนุษย์ที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้มนุษย์</b><b>ที่อยู่ทางทิศใต้ ขอให้มนุษย์ที่อยู่ทางทิศใต้ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้มนุษย์</b><b>ที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้มนุษย์ที่อยู่ทางทิศตะวันตก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>4. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พญานาคที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้พญานาคที่อยู่ทางทิศเหนือ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พญานาคที่อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้พญานาคที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พญานาคที่อยู่ทางทิศใต้ ขอให้พญานาคที่อยู่ทางทิศใต้ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พญานาคที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้พญานาคที่อยู่ทางทิศตะวันตก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พญานาคที่อยู่เมืองบาดาล ขอให้พญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b></b></p> <p align="justify"><b></b></p> <p align="justify"><b>5. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์</b><b>เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศเหนือ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์</b><b>เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์</b><b>เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศใต้ ขอให้เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศใต้ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์</b><b>เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้เดรัจฉานที่อยู่ทางทิศตะวันตก จงมี</b><b>ความสุข</b></p> <p align="justify"><b>6. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เปรตอสูร</b><b>กายที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้เปรตอสูรกาย ที่อยู่ทางทิศเหนือ จงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เปรตอสูร</b><b>กายที่อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้เปรตอสูรกาย ที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เปรตอสูร</b><b>กายที่อยู่ทางทิศใต้ ขอให้เปรตอสูรกาย ที่อยู่ทางทิศใต้ จงพ้นทุกข์ และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เปรตอสูร</b><b>กายที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้เปรตอสูรกาย ที่อยู่ทางทิศตะวันตกจงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เปรตอสูร</b><b>กายที่อยู่ทางทิศเบื้องล่าง ขอให้เปรตอสูรกาย ที่อยู่ทางทิศเบื้องล่างจงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b></b></p> <p align="justify"><b>7. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์นรก</b><b>ที่อยู่ทางทิศเหนือ ขอให้สัตว์นรก ที่อยู่ทางทิศเหนือ จงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์นรกที่</b><b>อยู่ทางทิศตะวันออก ขอให้สัตว์นรกที่อยู่ทางทิศตะวันออก จงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์นรกที่</b><b>อยู่ทางทิศใต้ ขอให้สัตว์นรกที่อยู่ทางทิศใต้ จงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์นรก</b><b>ที่อยู่ทางทิศตะวันตก ขอให้สัตว์นรกที่อยู่ทางทิศตะวันตก จงพ้นทุกข์และไป</b><b>เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้สัตว์นรกที่</b><b>อยู่ทางทิศเบื้องล่าง ขอให้สัตว์นรกที่อยู่ทางทิศเบื้องล่าง จงพ้นทุกข์และไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</b><b></b></p> <p><b>1. </b><b>บิดา มารดา ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>2. </b><b>บุพการี ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>3. </b><b>ผู้มีพระคุณ ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>4. </b><b>พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>5. </b><b>เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>6. </b><b>คู่ครอง ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>7. </b><b>บุตร ธิดา ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>8. </b><b>บริวาร ทุกภพทุกชาติ</b><b></b></p> <p><b>9. </b><b>เทวดาที่รักษาตัวเรา</b><b></b></p> <p><b>10. </b><b>พระภูมิเจ้าที่</b><b></b></p> <p><b></b></p> <p align="justify"><b>1. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้บิดา มารดาของเรา</b><b>ทุกภพทุกชาติ ขอให้ บิดา มารดา ของเราทุกภพทุกชาติ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>2. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้บุพการีของเราทุกภพทุกชาติ ขอให้บุพการีของเราทุกภพทุกชาติ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>3. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้ผู้มีพระคุณของเรา</b><b>ทุกภพทุกชาติ ขอให้ผู้มีพระคุณของเราทุกภพทุกชาติ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>4. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ของเราทุกภพทุกชาติ ขอให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ของเรา</b><b>ทุกภพทุกชาติ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>5. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร</b><b>ของเราทุกภพทุกชาติ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรของเราทุกภพทุกชาติ <u>จงได้มารับผล</u></b><b><u>บุญนี้ และโปรดอโหสิกรรมให้เรา ขอให้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น</u></b><b></b></p> <p align="justify"><b>6. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้คู่ครองของเราทุกภพทุกชาติ ขอให้คู่ครองของเราทุกภพทุกชาติจงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>7. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้บุตร ธิดา ของเรา</b><b>ทุกภพทุกชาติ ขอให้บุตร ธิดา ของเราทุกภพทุกชาติ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>8. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้บริวารของเรา</b><b>ทุกภพทุกชาติ ขอให้บริวารของเราทุกภพทุกชาติ จงมีความสุข</b><b></b></p> <p align="justify"><b>9. </b><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้เทวดาที่รักษาตัวเรา </b><b>ขอให้เทวดาที่รักษาตัวเรา <u>จงมีความสุข มีบารมี ตบะ เดชานุ</u></b><b><u>ภาพ มีฤทธิ์ มีอำนาจสูงยิ่ง ๆ ขึ้น</u></b><b></b></p> <p align="justify"><b>บุญที่เราทำในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้พระภูมิเจ้าที่ ขอให้พระภูมิเจ้าที่ <u>จงมีความสุข มีบารมี ตบะ เดชานุภาพ มีฤทธิ์ มีอำนาจ</u><u>สูงยิ่ง ๆ ขึ้น</u></b></p> <p align="justify"><strong><u></u></strong></p> <p align="justify">ขอขอบคุณ: กัญญาณมิตร และคุณป้าท่านนั้น</p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-531482860460792792012-07-03T12:50:00.001+07:002012-07-03T12:55:08.725+07:00องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 28 พระองค์<p align="center"><b><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhni-AunTNaCpwp0B7-fpgL63V9LLSkne93L-ruKnWn00eeqyJiTU3qMV8u-xknLRdUOhJBndeEbWKiuIv5Bp9jx8q11KlR4MtuEvE7FMlbQ98FdhUfrZBf-ejyQI215vJAF2aPQqkQgpB-/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ (2)" alt="พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ (2)" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBpz_qK9ToMhN9zRviQMaxlamIxxr_DyI-_APliUr57sLkNed_k7GtroyoTyFqmY38GNcMCCvvLNB0C0nW6xnzbENrDVqQjUGQ3TwCX_y7dfKzlEzJMpotLKkDg6WcnEz0iB7ZcVW3nPws/?imgmax=800" width="148" height="148" /></a> </b></p> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้านันทราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทราชาเทวี</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 18 ศอก</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร – ผู้มียศใหญ่</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า เทโว</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยะสุนทราชาเทวี</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 80,000 ปี</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 18 ศอก</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธสรณังกร</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธสรณังกร – ผู้เกื้อกูลแก่โลก</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุมาเลราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยสะเทวี</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 2 เดือน กับ 20 วัน</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 18 ศอก</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร</b></li> <li><b>ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 8 อาสาฬหนักขัตฤกษ์</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า นรเทวราช(พระเจ้าสุเทพ)</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สุเมธา</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ปทุมาราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอสุภขันธกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 9 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปิปผลิ</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมังคลเถร และพระติสสเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางโสณา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธพระโกณฑัญญะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธพระโกณฑัญญะ – ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุนันทราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุชาดาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง รุจิราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระวิชิตเสนกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุได้ 10,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนยคู่</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 58 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นพญารัง</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททเถร และพระสุภัททเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอนุรุทธเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระติสสาเถรี และพระอุปัสสนาเถรี</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน แสนโกฏิ องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 18 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 200,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธพระสุมังคละ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธพระสุมังคละ – ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ อุตตรนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อุตตรมหาราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอุตตรราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ยสาวดี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระสีวระราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวเถร และพระธรรมเสนเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวราเถรี และพระอโสกาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทะ และวิสาขะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อนุฬา และสุมนา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,00 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธสุมนะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธสุมนะ – ผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหทัยงาม</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ เมขละนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัตตมหาราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สิริมา</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ฏังสกี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปมราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ อยู่นาน 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 60 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสรณเถร และพระภาวิตัตตเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทนเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระโสณาเถรี และพระอุปโสณาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ และสรณะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า จารา และอุปจารา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 90 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธเรวตะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธเรวตะ – ผู้เพิ่มพูนความยินดี</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สุธัญญวดีนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าวิปุลราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางวิปุลาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุทัสนา</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระวรุณราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 6,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียบม้าอาชาไนย</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระวรุณเถร และพรหมเทวะเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสัมภวะเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระภัททราเถรี และพระสุภัททราเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณ และสรภะมหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า ปาลา และอุปปาลา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธโสภิตะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธโสภิตะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สุธรรมนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุธรรมราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุธรรมาเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง มจิลาราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระสีหราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์ (ไม้กากะทิง)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระอสมเถร และ สุเมธเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอโนมเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุฬาเถรี และพระสุชาตาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายรัมมะ และ นายสุเนตตะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนกุฬา และนางสุชาตา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 58 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า – ผู้อุดมสูงสุดในหมู่ชน</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ จันทวดีนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า ยศวราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยโสธรา</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สิริมา</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปสารราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นอชุนะ (ไม้รกฟ้า)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระนิสภเถร และอโนมเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวรุณเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุนทราเถรี และพระสุมนาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายนันทิวัฒนะ และสิริวัฑฒะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอุปรา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 58 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 80 ศอก</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธปทุมะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธปทุมะ – ผู้ทำให้โลกสว่าง</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ จัมปานคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อสมราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอสมาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง อุตตราเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระรัมมราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาส อยู่ 10,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนย</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสาลเถร และพระอุปสาลเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราธาเถรี และพระสุราธาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายสภิยะ และนายอสมะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรุจิ และนางนันทิมาลา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 58 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธนารทะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธนารทะ – ผู้เป็นสารถีประเสริฐ</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ ธัญญวดีมหานคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุเมธราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอโนมาเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง วิชิตเสนาเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระยันทุตรราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ทรงดำเนินไปด้วยพระองค์เอง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน ตรง</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททสาลเถร และพระพิชิตมิตตเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวาเสฏฐเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอุตตราเถรี และพระผักขุนีเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุตรินท์ และวสะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอินทอรี และนางคัณฑี มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 88 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 1 อสงไขย</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธปทุมุตระ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธปทุมุตระ – ผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ หงสวดีนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อานันทมหาราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุชาดาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุละทัคคเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอุตตรราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 90,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นสาละ หรือต้นรัง</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวลเถร และพระสุชาตเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุมนเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอมิตตาเถรี และพระอสมาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อมิตตะ และติสสะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางหัตถา และนางสุจิตตา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 58 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 12 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 30,000 กัลป์</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธสุเมธะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธสุเมธะ – ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สุทัสสนนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัสสนมหาราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัตตาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุมนาเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระปุนัพพราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหานิมพะ (ไม้สะเดา)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมนเถร และพระสัพพกามเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสาครเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุรมาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุรุเวฬ และยสวา มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางยสา และนางสิริมา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 88 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธสุชาตะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธสุชาตะ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สุมังคลนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุคคตราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสิรินันทาเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปเสนราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง ชื่อ หังสวาสภราชา</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 33 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหาเวฬุ (ไม้ไผ่ใหญ่)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 9 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุสุทัสสนเถร และพระสุเทวเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระนารทเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระนาคาเถรี และพระนาคสมาราเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุทัตต และจิตต มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสุภัททา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 50 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลกาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธปิยทัสสี</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธปิยทัสสี – ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สุธัญญราชธานี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทัตตราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางจันทราราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิมาลาเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระกัญจนเวฬกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้กุ่ม</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระปาลิตเถร และพระสัพพทัสสีเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุชาดาเถรี และพระธัมมทินนาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สันตกะ และธัมมิก มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิสาขา และนางธัมมทินนา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธอัตถทัสสี</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธอัตถทัสสี – ผู้มีพระกรุณา</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สุจิรัตถราชอุทยานแห่งสาครราชธานี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสาครราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิสาขาราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระเสลราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้จำปา</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสันตเถร และพระอุปสันตเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอภัยเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระธรรมาเถรี และพระสุธรรมาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นกุละ และนิสภะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางมจิลา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 9 โกฏิ</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 100 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธธรรมทัสสี</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธธรรมทัสสี – ผู้บรรเทามืด</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ สรณราชอุทยานแห่งสรณราชธานี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสรณราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิจิโกลี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระวัฒนราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ไทรย้อย</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 วัน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระปทุมเถร และปุสสเทวเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุเนตตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระสัจจนามาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุภัททะ และกฏิสหะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสาฬสา และนางกฬิสสา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธสิทธัตถะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธสิทธัตถะ – ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ เวภารนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุเทน</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุผัสสาเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนาราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปนราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจมาศ (วอทอง)</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นกรรณิการ์</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสัมพลเถร และพระสุมิตตเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเรวตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสิวลาเถรี และพระสุรามาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุปิยะ และสัมพุทธะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรัมมา และนางสุรัมมา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 โกฏิ</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 60 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธติสสะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธติสสะ – ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ อโนมราชอุทยานแห่งเขมราชธานี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชนสันธราช</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปทุมาเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุภัทราเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อาสนะ (ต้นประดู่)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระพรหมเทพเถร และพระอุทัยเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัมภวเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระปุสสาเถรี และพระสุทัตตาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สัมภระ และสิริ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางกีสาโคตมี และนางอุปเสนา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 60 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธปุสสะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธปุสสะ – ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ กาสีราชธานี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชัยเสน</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมาราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางกีสาโคตมีราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 9,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มลกะ (ไม้มะขามป้อม)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุรักขิตเถร และพระธัมมเสนเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิยเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจาลาเถรี และพระอุปจาลาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายธนัญชัย และนายวิสาข มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางปทุมา และนางสิรินาคา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 58 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 91 กัลป์</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธวิปัสสี</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธวิปัสสี – ผู้หาที่เปรียบมิได้</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ พันธุมดีราชธานี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าพันธุมหาราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางพันธุมดีราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระสมวัตตขันธราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้แคฝอย</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระขันธเถร และพระติสสเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอโสกเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจันทราเถรี และพระจันทมิตตาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ปุณณสุมิตต และนาคะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 84,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 80 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 7 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 49 กัลป์</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธสิขี</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธสิขี – ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สัตว์</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ มิสกราชอุทยานแห่งอรุณวดีนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอรุณราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสัพพกามาเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระอตุลราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 7,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 24 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปุณฑริกะ (ไม้ซึก) คล้ายกับไม้ปาตลี</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระอภิภูเถร และพระสัมภวเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเขมังกรเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระประทุมเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สิริวัฒนะ และนันทะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางจิตรา และนางสุจิตรา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 70,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 70 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 3 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธเวสสภู</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธเวสสภู – ผู้ประทานความสุข</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ อโนมนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุปตีตราชา</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยสวดีราชเทวี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุจิตราเทวี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระสุปปพุทธราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 6,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้รัง</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระโสณเถร และพระอุตตรเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอุปสันตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุมาลาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า โสตถิกะ และรัมมะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางโคตมี และนางสิริมา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 60 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 70,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธกุกกุสันธะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธกุกกุสันธะ – ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ เขมวันราชอุทยานแห่งเขมนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล พราหมณ์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า อัคคิทัตตพราหมณ์</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า วิสาขาพราหมณี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า โสภิณีพราหมณี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า อุตตรกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 4,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถเทียมม้าอาชาไนย</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 80 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ซึกใหญ่</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระวิธูรเถร และพระสัญชีวเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระพุทธิยะเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสามาเถรี และพระจัมปนามาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อัจจุคาตะ และสุมนะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 40 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 11 โยชน์</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 40,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธโกนาคมนะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธโกนาคมนะ – ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ โสภวดีราชอุทยานแห่งโสภวดีนคร</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล พราหมณ์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า ยัญญทัตตพราหมณ์</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า อุตตราพราหมณี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า รุจิคัตตาพราหมณี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า สัททวาหกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 3,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อุทุมพร (ไม้มะเดื่อ)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระภิโยสเถร และพระอุตตรเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสทิชเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสมุทาเถรี และพระอุตตราเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุคคะ และโสมเทว มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวรา และนางสามา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 30,000 องค์</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 30 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 30,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ อิสิปตนมิคทายวันแห่งนครพาราณสี</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล พราหมณ์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พรหมทัตตพราหมณ์</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า ธนวดีพราหมณี</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า สุนันทาพราหมณี</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า วิชิตเสนกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 2,000 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 15 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้นิโครธ</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระภารทวาชเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัพพมิตตเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอนุฬาเถรี และพระอุรุเวลาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุมังคละ และฆฏิการะ มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิชิตเสนา และนางภัตรา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 1 โกฏิ</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 20 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี</b></li> </ul> <p><b>องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ</b></p> <ul> <li><b>องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ – ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช</b></li> <li><b>สถานที่ประสูติ กรุงกบิลพัสดุ์</b></li> <li><b>ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6</b></li> <li><b>ประสูติในตระกูล กษัตริย์ แห่งศากยวงศ์</b></li> <li><b>พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทน</b></li> <li><b>พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมหามายา</b></li> <li><b>พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางยโสธรา</b></li> <li><b>พระราชโอรส พระนามว่า พระราหุลราชกุมาร</b></li> <li><b>เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 29 ปี</b></li> <li><b>พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าอัศวราช</b></li> <li><b>รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 14 ศอก</b></li> <li><b>ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อัสสัตถะ (ไม้ปาเป้ง)</b></li> <li><b>ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 ปี</b></li> <li><b>วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี</b></li> <li><b>พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระโกลิตเถร</b></li> <li><b>พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอานนทเถร</b></li> <li><b>พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระอุบลวัณณาเถรี</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถอาฬวก มหาอุบาสก</b></li> <li><b>อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทมาตา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา</b></li> <li><b>พระวรกายสูง 16 ศอก</b></li> <li><b>พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 วา</b></li> <li><b>ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี</b></li> <li><b>อายุพระศาสนา 5,000 ปี</b></li> </ul> <b>ที่มา <a href="http://tripitaka.wikia.com/">พระไตรปิฎกออนไลน</a></b> <br /><b></b> <p><b>---------------------------------------------</b></p> <p><b>อสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก จะมีพระพุทธเจ้าในอดีตดังต่อไปนี้</b></p> <ul> <li><b><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B">กัป</a>แรกในต้น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A2">อสงไขย</a>ที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์</b> <ol> <li><b><a href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1">พระตัณหังกรพุทธเจ้า</a></b></li> <li><b><a href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1">พระเมธังกรพุทธเจ้า</a></b></li> <li><b><a href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1">พระสรนังกรพุทธเจ้า</a></b></li> <li><b>พระทีปังกรพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์</b> <ol> <li><b><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2">พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า</a></b></li> </ol> </li> <li><b>กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์</b> <ol> <li><b>สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน</b> <ol> <li><b>กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. บางตำราว่าเป็นมัณฑกัป บางตำราก็ว่าเป็นสารกัป.</b> <ol> <li><b>พระปทุมมุตระพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป</b></li> <li><b>มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สูญกัป 60,000 กัป</b></li> <li><b>วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สูญกัป 24 กัป</b></li> <li><b>สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สูญกัป 1 กัป</b></li> <li><b>มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สูญกัป 60 กัป</b></li> <li><b>มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> </ol> </li> <li><b>สูญกัป 30 กัป</b></li> <li><b>กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์</b> <ol> <li><b>พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า</b></li> <li><b>พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 80 ปีก่อนพุทธกาล)</b></li> <li><b>พระศรีอริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้า (อนาคต พุทธศักราช 5,000 เป็นต้นไป) </b></li> </ol> </li> </ol> </li> </ul> <p>ขอขอบคุณที่มา: <a href="http://prawang.blogspot.com/p/blog-page_668.html">http://prawang.blogspot.com/p/blog-page_668.html</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-88506175537033605502012-06-19T01:09:00.000+07:002012-06-23T19:11:28.521+07:009. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์มณีรัชตินาครา<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00" size="4">ปราสาทเจ้าสายเทวดา</font></strong></p> <p><img src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/660.jpg" /> <br />ปราสาทเจ้าสายเทวดา จากถนนเดินเข้ามาสัก เกือบร้อยเมตรเป็นปราสาทขนาดย่อมมากๆ ไม่ใช่ย่อมธรรมดา ถ้าเปรียบเทียบกับนครวัด</p> <p>        ปราสาทเจ้าสายเทวดา สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 17  รัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบนครวัด อิทธิพลศาสนาฮินดู ตั้งอยู่ตรงข้ามปราสาทธรรมานนท์ สร้างเพิ่มเติมโดยพระเจ้ายโศวรมันที่ 2 จนสิ้นสุดในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/662.jpg" /></p> <p>สำรวจอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปข้างใน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/663.jpg" /></p> <p>ทับหลังลวดลายนาคราช เล็กใหญ่ซ้อนกันอยู่บนล่าง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/664.jpg" /></p> <p>รายละเอียดของตัวปราสาทจัดว่างดงาม แม้จะเป็นปราสาทขนาดเล็ก</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/665.jpg" /></p> <p>เหมือนยกปราสาทบริวาร จากนครวัดมาตั้งไว้กลางป่า</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/666.jpg" /></p> <p>เล็กขนาดนี้ก็เรียกว่าปราสาทได้เหมือนกัน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/667.jpg" /></p> <p>มุมมองจากฝั่งตรงข้าม เมื่อเดินข้ามฝั่งถนนมาที่ปราสาทธมมานนซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน</p> <p>ขอขอบคุณ: <a href="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/chau_say_tevoda.html">http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/chau_say_tevoda.html</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-45447778085183459722012-06-19T01:08:00.000+07:002012-06-23T19:11:04.709+07:008. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์จันทรคุปต์นาคราช<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00" size="4">ปราสาทบาปวน</font></strong></p> <p align="center"><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/686.jpg" width="406" height="313" /></p> <p><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/679.jpg" width="215" height="226" /></p> <p>จากปราสาทธมมานน ตรงเข้านครธม เหมือนจะย้อนกลับทางเดิม <br />ผ่านซุ้มประตูทางเข้าด้านหนึ่งไป</p> <p><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/680.jpg" width="213" height="222" /></p> <p>โผล่มาตรงลานช้าง ลานพระเจ้าขี้เรื้อน สู่ปราสาทบาปวน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/681.jpg" /></p> <p>ไปต่อจากเมื่อวานนี้ตรงสะพานทางเข้าปราสาทที่วิ่งหนีฝนออกไปอย่างคนพ่ายแพ้ และเปียกปอน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/684.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/685.jpg" /></p> <p>ผ่านซุ้มที่หักพังลงแล้วโดยสิ้นเชิง ตรงช่วงกลางสะพาน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/686.jpg" /></p> <p>หนทางยังอีกไกล ปราสาทบาปวนก็ไม่ต่างไปจากภูเขาลูกหนึ่งที่ดูว่าใกล้ตา</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/687.jpg" /></p> <p>สุดสะพาน ขึ้นบันไดสู่ฐานตัวปราสาทในชั้นแรก</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/688.jpg" /></p> <p>ด้านข้างๆ</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/682.jpg" /></p> <p>เดินเข้ามาไกลเหมือนกัน สะพานหินค่อนข้างยาวมากเมื่อมองจากมุมนี้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/690.jpg" /></p> <p>จากช่องซุ้มทางเข้าด้านหน้า</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/691.jpg" /></p> <p>ซุ้มระบียงยาวเชื่อมต่อซุ้มทางเข้าตรงบันได</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/692.jpg" /></p> <p>พ้นซุ้มระเบียงออกมา เผยให้เห็นตัวปราสาทตั้งอยู่บนลานกว้างมาก</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/693.jpg" /></p> <p>ซุ้มทางขึ้นอีกชั้น เห็นบันไดแล้วเข่าอ่อน แต่ก็ไม่เคยเข็ดขยาด</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/694.jpg" /></p> <p>สามารถมองย้อนลงไปได้ นั่นย่อมหมายถึงว่าฉากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้จบลงแล้ว</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/695.jpg" /></p> <p>ระเบียงทางเดิน สามารถเดินชมได้รอบๆ</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/696.jpg" /></p> <p>เห็นเงาบันได ตะคุ่มๆ ชักจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/697.jpg" /></p> <p>เลี่ยงไปทางอื่น</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/698.jpg" /></p> <p>ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีสิ่งดึงดูด</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/699.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/701.jpg" /></p> <p>ที่สุดก็ขึ้นมาอีกจนได้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/702.jpg" /></p> <p>พบว่าก็ยังไม่ถึงด้านบนสุด บันไดมีไว้เพื่อท้าทาย....</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/703.jpg" /></p> <p>สูงมาก แทบจะสูงที่สุดแล้วที่ผ่านมา</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/704.jpg" /></p> <p>ยิ่งถ้าได้ป่ายปีนขึ้นบันไดไปอีกสักชั้น</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/705.jpg" /></p> <p>ป้ายห้ามขึ้น ถือเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตชีวิตอีกครั้ง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/706.jpg" /></p> <p>เดินรับลมร้อน แค่เชือกเท่านั้นที่กันคนกระโดดเล่น</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/707.jpg" /></p> <p align="justify">ปราสาทบาปวน สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1603) รัชสมัยของพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบบาปวน ศาสนาฮินดู</p> <p align="justify">ปราสาทบาปวน จัดเป็นปราสาทแรกในกลุ่มปราสาทเมืองพระนคร มีทางเดินผ่านตัวปราสาทเป็นสะพานหินยกระดับทอดยาว ทางเดินเข้าผ่านโคปุระรูปกากบาท 3 ทาง ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่ตั้งของปราสาทอยู่ในเขตพระราชวังหลวง เป็นปราสาทที่มียอดสูง</p> <p align="justify">ยอดปราสาทบาปวนเคลือบด้วยสำริดแลอร่ามแต่ไกล หากไม่หักพังเสียก่อน คาดว่าปราสาทบาปวนอาจมีความสูงกว่าปราสาทพิมานอากาศ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/708.jpg" /></p> <p>หน้าตาคุ้นๆ ทางลง ยังคงจำได้ทุกครั้งไม่เคยลืมเลือนความรู้สึกตอนลงจากที่สูงที่แล้วๆมา ความรู้สึกเดียวกันเลยเกิดคำถามขึ้นในใจทุกครั้ง คือจะขึ้นมาทำไม</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/709.jpg" /></p> <p>สมาธิต้องมี ความระมัดระวังก็ต้องมีอยู่ตลอดเวลาทุกก้าวย่างและความศรัทธาในชีวิตถือเป็นสิ่งสูงสุด</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/710.jpg" /></p> <p>ที่เรียกว่าประสบการณ์มันสอนเรา เข้าใจลึกซึ้งถ่องแท้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/711.jpg" /></p> <p>เวรกรรมมันเป็นของมีจริง ที่ว่าทำไว้ยังไงก็ได้ยังงั้นขึ้นมาได้ ก็ต้องลงไปได้ด้วย คนเรา....</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/712.jpg" /></p> <p>ก็เป็นคนธรรมดาเดินดิน ก็ต้องตะเกียกตะกายกันไป จะให้บินคงไม่ได้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/713.jpg" /></p> <p>ถึงพื้นด้วยความปลอดภัยอีกครั้ง ผ่านทางบันไดนี้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/714.jpg" /></p> <p>เดินไปตามป้ายเส้นทางเดินนักท่องเที่ยว บนฐานปราสาท</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/715.jpg" /></p> <p>ปราสาทบาปวน สถาปัตยกรรมชั้นสูง ซึ่งมองจากตรงนี้เหมือนกองอิฐ กองหิน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/716.jpg" /></p> <p>สูงสุดสู่สามัญ ทางบันได สุดท้ายแล้วของทริปนี้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/717.jpg" /></p> <p>คำถามยังคงไม่ได้รับคำตอบ บางครั้งอาจเป็นแค่เรื่องของกิเลสพื้นๆที่มนุษย์ทั่วไปๆต่างมีกัน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/718.jpg" /></p> <p>คันดินเส้นทางเดินนักท่องเที่ยว วนรอบนอกปราสาทมองเห็นฐานปราสาทชั้นล่างที่เพิ่งลงมาเมื่อครู่</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/719.jpg" /></p> <p>สูงมากเมื่อมองจากตรงนี้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/720.jpg" /></p> <p>ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์โดยมนุษย์ ที่งดงามอีกชิ้นหนึ่ง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/721.jpg" /></p> <p>การที่ได้กดดันตัวเองจนถึงขีดสุด ก็เหมือนกับว่าได้เรียนรู้ศักยภาพของตัวเอง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/722.jpg" /></p> <p>เลาะลงมาเดินตามทาง ข้างฐานปราสาท</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/723.jpg" /></p> <p>สองข้างทางเป็น กองงานบูรณะซ่อมแซม</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/724.jpg" /></p> <p>เหมือนพิพิธภัณฑ์หินกลางแจ้ง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/725.jpg" /></p> <p>ถือเป็นการจัดระเบียบสังคมหิน</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/726.jpg" /></p> <p>ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ให้ครอบครัวเป็นครอบครัว</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/727.jpg" /></p> <p>การรอคอย ไม่แน่ว่าอาจชั่วนาตาปีแต่อย่างน้อยมันก็ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ อย่างสง่างาม</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/728.jpg" /></p> <p>สะพานยาวเหยียดตั้งแต่ทางเข้าจนถึงตัวปราสาท</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/729.jpg" /></p> <p>และที่สำคัญ แน่นอนว่าแทบทุกปราสาท ย่อมต้องมีแหล่งน้ำ</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/730.jpg" /></p> <p>ที่สุดแล้ว ก้อนหินเหล่านี้ก็ยังคงทรงคุณค่าเทียบเท่าปราสาท</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/731.jpg" /></p> <p>คือกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน ที่สัมผัสจับต้องได้และด้วยทุกประสาทสัมผัส รับรู้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/732.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/733.jpg" /></p> <p>ปราสาทบาปวน อยู่ไกลๆ</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/734.jpg" /></p> <p>ออกมาทางลานช้าง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/735.jpg" /></p> <p>เอาไว้ขึ้นช้างหรือเปล่าแถวนี้</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/736.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/737.jpg" /></p> <p>ฐานพลับพลาสร้างด้วยหินสลักเป็นรูปช้างและครุฑพ่าห์ พื้นพลับพลาเป็นหินตั้งอยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน คือมุขช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพ่าห์มีบันไดขึ้นลงได้ 5 ทาง บันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง เป็นทางพระราชดำเนินที่จะใช้ลงไปยังสนามหลวงของพระมหากษัตริย์เท่านั้น</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/738.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/739.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/740.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/742.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/741.jpg" /></p> <p>จากลานช้างข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม เป็นลานกว้างที่เรียกว่า สนามหลวง</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/743.jpg" /></p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/744.jpg" /></p> <p>มองเห็นปราสาทบายนอยู่ไกลๆ เบื้องหน้า</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/745.jpg" /></p> <p>ผ่านปราสาทบายนอีกรอบ</p> <p><img border="0" src="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/pic/746.jpg" /></p> <p>ขอขอบคุณ: <a href="http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/baphuon.html">http://www.baanjomyut.com/travel/cambodia/baphuon.html</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-30354229602166193542012-06-19T01:07:00.002+07:002012-06-23T19:10:25.520+07:007. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์จันทผ่องอำไพนาคราช<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><b><font color="#80ff00" size="4">ปราสาทแม่บุญตะวันออก</font></b></p> <table border="0" cellspacing="0" cellpadding="2" width="598"><tbody> <tr> <td width="327" align="center"><img src="http://photos4.hi5.com/0086/552/151/FAlehv552151-02.jpg" /></td> <td width="269" align="center"><img src="http://photos2.hi5.com/0086/922/517/6K6z1n922517-02.jpg" width="187" height="236" /></td> </tr> </tbody></table> <p><b>ปราสาทแม่บุญตะวันออก...เสียมราฐ</b> <br />ปราสาทแม่บุญตะวันออก .... ไปเพราะซื้อตั๋วเข้าชมแล้ว 3 วัน และวันนี้เครื่องจะออกตอนเย็นไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเที่นวไปเรื่อย ๆ ค่ะ <br />ที่ตั้ง ใกล้ ๆ ตาสม ขวามือสุดของเส้นทางสีแดง ในกรอบสีเหลืองอ่อนที่เขียนว่า east baray <br />เดิมเป็นเกาะ อยู่ใน บาราย(สระน้ำขุด)ทิศตะวันออก เพื่อเก็บน้ำ แต่ปัจจุบันไม่เห็นสระแล้วค่ะ ให้ขุดโดยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ...ก่อนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แห่งนครวัด สองร้อยกว่าปี <br />ปราสาทสร้างโดยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ก่อนหลังพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 สี่สิบกว่าปี</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0081/313/124/Us6Qni313124-02.jpg" /> <br />สร้างด้วยศิลาแลง และอิฐ แสดงว่าอิฐมาก่อนหินเนาะ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0087/492/639/dJS3Ql492639-02.jpg" /> <br />จากพื้นถึงยอดปรางค์ประธานสูง 28 เมตร (ปกติเขากำหนดให้ห้องแถวสูง 4 เมตรก็ 7 ชั้นละคร้าบ ตอนนั้นไม่รู้เลยเดินขึ้นค่า)</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0084/747/040/AHkqbV747040-02.jpg" /> <br />ลอดช่องประตู หัวบันไดมีสิงห์เฝ้าอารักขา</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0087/420/809/X363QK420809-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0086/922/517/6K6z1n922517-02.jpg" /> <br />พอขึ้นมาชั้นสองก็มีลานแบบนี้โดยรอบ ตรงมุมจะเป็นรูปช้าง</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0084/234/078/.UqeCn234078-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0087/028/739/v92mcq028739-02.jpg" /> <br />ขึ้นต่อมาจนถึงหน้าปรางค์ประธาน</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0086/552/151/FAlehv552151-02.jpg" /> <br />ปรางค์ข้างปรางค์ประธาน</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0085/114/538/3bG05T114538-02.jpg" /> <br />น่าจะเป็นพระศิวะเนาะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0086/050/430/i4.95P050430-02.jpg" /> <br />มาเห็นเสากับทับหลังแบบนี้ ก็เลยเซ็งเล็ก ๆ ใหม่ไปน่าจะรออีก สองสามปีเก่าพอดีเลย</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0087/330/255/dQt5M3330255-02.jpg" /> <br />เราลงด้านทิศใต้ค่ะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0085/179/094/tAcbtb179094-02.jpg" /> <br />วิวรอบ ๆ ที่เคยเป็นสระ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0084/513/547/UtQeHL513547-02.jpg" /></p> <p>ขอขอบคุณ <a href="http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=04-2009&date=09&group=17&gblog=15">http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=04-2009&date=09&group=17&gblog=15</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-992270241194520802012-06-19T01:06:00.000+07:002012-06-23T19:09:59.430+07:006. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์เอนกอังกูรจันทนาคราช<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><b><font color="#80ff00" size="4">ปราสาทตาพรหม</font></b></p> <table border="0" cellspacing="0" cellpadding="2" width="599"><tbody> <tr> <td width="402" align="center"><strong><font color="#80ff00" size="4"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMxRP79-iY1w8VVfnRbGJZWVT45L2U9coZNebDkm3PtEXEg5auEnutgOsuq9oHiSDgeW2O5iREBq2FDhA7YWrKspNfRQ2NVrnYheO1oZZE8O2JRrkonG3SgxtqPtTusVb2e0traGrKWWj-/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทตาพรหม1" alt="ปราสาทตาพรหม1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrCcgVISArvumxfnc5UBkhIsTcHI7nRiE2sfNGH3ertlJF_cJXdo-jrqB9l8sGaxNYm33p07JUiUgbx0KkEDPq4j7Gz3RXpILpzMx87NtGEoRBEywk6JpwXRuhCttYVDci_yRy6DOpXQcz/?imgmax=800" width="382" height="248" /></a></font></strong></td> <td width="195" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIqHzYUR2rUgtxMrHFIn6LLpbdbAeegnWhDh4yJCKxYZHgo167i5vIT2u2SwmTqlQXQReyL7lXEUaBrT49TKA72pLbpmClLkl8PIPHCxSY2nZj2GBWQSnWy7uU8Mjvw9yQJJb7vw-mwuiH/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทตาพรหม2" alt="ปราสาทตาพรหม2" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRfgmYlahFEa5yXcnTj6qZpEDppLKbrRmMuPyPocq4YoqxGVQWHWJRmiZe39iTUk0eb8_44GyqgTfErVnQto00aPaSBLsfsEJTgqU-qzdtZqpX-WpOmsI8-88wLx9jsXeJ5aeEy-0M1VpL/?imgmax=800" width="182" height="247" /></a> </td> </tr> </tbody></table> <p align="justify"><i>ปราสาทแห่งนี้ พระเจ้าชัยวรรมันที่ ๗ มหาราชองค์สุดท้ายของกัมพูชาโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเป็น "ราชวิหาร" ถวายแด่พระราชมารดาของพระองค์ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หรือราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกนิยมมาชมความงามของปราสาทแห่งนี้กันมาก เนื่องจากการบูรณะโดยนักวิชาการฝรั่งเศสเมื่อปลายศตวรรษที่แล้วต้องการจะคงบรรยากาศความขรึมขลังของปราสาทตาพรหมและอาณาบริเวณโดยรอบเอาไว้ ดังนั้นตาพรหมจึงมีมนตร์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลต่างไปจากปราสาทแห่งอื่นๆ ในเมืองพระนคร</i></p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0082/398/297/839mxk398297-02.jpg" /> <br /> </p> <p>( วงสีม่วงในแผนที่ ) ตาพรหม จะอยู่ในแนวทิศ ตะวันออก ไป ตะวันตก เราเข้าทางตะวันออก ไปทะลุด้านตะวันตก  <img src="http://photos3.hi5.com/0082/110/874/I8hEIP110874-02.jpg" /> <br />ทางเดินแบบนี้ซัก 500 เมตร</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0077/114/626/b4NTRE114626-02.jpg" /> <br />ต้นไม้เขาใหญ่ดีค่ะ และก็มองเห็น ตาพรหมแล้วละ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0078/422/995/KJfJL8422995-02.jpg" /> <br />ก่อนถึงลานด้านหลัง มีวิหารหลังเล็ก ๆ ที่ใช้เป็นที่ประกอบพิธีของพวกพราหมณ์ วิหารนี้จะมีการจุดไฟบูชาตลอดทั้งวันทั้งคืน</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0082/651/100/hyYpmX651100-02.jpg" /> <br />ตรงไปก็จะเป็นลาน</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0081/564/966/rscbWv564966-02.jpg" /> <br />จากรูปบนที่เห็นนาค บนพื้น...ลวดลายก็มีนะ..ตลอด</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0083/654/934/.DuS6U654934-02.jpg" /> <br />ต้นไม้ แผ่รากไปตามหิน ทำให้เกาะกัน หรือทำให้แตกน้า</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0082/365/396/bSj89H365396-02.jpg" /> <br />ประตูทางตะวันออกเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0077/672/300/3M8C9g672300-02.jpg" /> <br />ภาพขยายนะ ตอนเจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้มีมารมาผจญ พระแม่ธรณีจึงบีบมวยผม ได้กระแสน้ำไล่พวกมาร รูปพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปอาจถูกทำลายไปเพราะพระเจ้าชัยวรมัยที่ 8 เลื่อมใสศาสนาฮินดู</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0076/268/069/Wm9Nju268069-02.jpg" /> <br />มาแล้วค่ะต้นสะปง ... ส่วนใหญ่ไกด์จะเล่าและชี้ให้ดูต้นเล็ก ๆ ที่กำลังจะงอก แล้วชี้ต้นใหญ่...ผลการงอก </p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0078/907/530/2tLWWq907530-02.jpg" /> <br />แล้วก็เป็น</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/403/758/rtnkNI403758-02.jpg" /> <br />เกาะเกี่ยวกำแพงก็ได้</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0079/721/379/KaPoFS721379-02.jpg" /> <br />เข้าไปข้างในก็เห็นเขาทำแท่นไว้ยืน ก็หันไปหันมาเห็นนางอัปสร ค่อนข้างชัด</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0078/835/062/6Gzo5j835062-02.jpg" /> <br />แต่โทษที เขาให้ยืนชมนี่จะได้ไม่เกะกะ เลือกที่มีขนาดอ้างอิงนะ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0083/091/001/pg63xC091001-02.jpg" /> <br />บางครั้งต้นไม้ก็โอบอุ้มปราสาทไว้เหมือนกัน</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0081/191/635/enQKY0191635-02.jpg" /> <br />ที่นี่ลวดลายเยอะ...ที่โคราชเรียกว่าลีลา</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0080/812/196/8tmxFg812196-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0076/758/989/sPnpBI758989-02.jpg" /> <br />ใครจะตามหารูปไดโนเสาร์...ข้าเจ้าหาไม่เจอ</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0076/586/432/gUdIDh586432-02.jpg" /> <br />เขาเอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้บนอะไรเนี่ย</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0081/879/074/8pemwJ879074-02.jpg" /> <br />ใครมาก็ต้องมีรูปนี้ค่ะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0077/643/862/9Apdtn643862-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0076/145/427/tTu3Av145427-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/511/146/vINbdF511146-02.jpg" /> <br />ปรางค์ประธาน</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0079/899/858/eun8Qd899858-02.jpg" /> <br />จั่วหลังคา</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0078/645/424/hok0la645424-02.jpg" /> <br />เสากะคาน เอ เขาต่อถูกไหมน่ะ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0076/790/917/vR4qK4790917-02.jpg" /> <br />กองจิ๊กซอ ที่ยังไม่ได้ต่อ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/539/602/0dkAQz539602-02.jpg" /> <br />ซุ้มสุดท้ายเขากำลังซ่อมก็ออกด้านข้าง ที่พื้นก็มีลวดลายนะแต่อาจเป็นของยุคนี้ไหมน้อ</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0077/615/548/uAphs4615548-02.jpg" /></p> <p></p> <p></p> <p></p> <p></p> <p><strong>ขอขอบคุณ:<a href="http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=02-2009&date=16&group=17&gblog=3">http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=02-2009&date=16&group=17&gblog=3</a></strong></p> <p><strong> <br /><img src="http://www.muangboranjournal.com/spaw/upload/IMG_1700.jpg" /></strong></p> <p><strong>ฉาก</strong>: ปราสาทตาพรหม เมืองพระนคร ท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้ม เหนือขึ้นไปแสงแดดแผดจ้า ฝูงนกแก้วบินปราดผ่านศีรษะไปอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงร้องกรีดแสบแก้วหู</p> <p><strong>บรรยาย</strong>: <i>ปราสาทแห่งนี้ พระเจ้าชัยวรรมันที่ ๗ มหาราชองค์สุดท้ายของกัมพูชาโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเป็น "ราชวิหาร" ถวายแด่พระราชมารดาของพระองค์ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หรือราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกนิยมมาชมความงามของปราสาทแห่งนี้กันมาก เนื่องจากการบูรณะโดยนักวิชาการฝรั่งเศสเมื่อปลายศตวรรษที่แล้วต้องการจะคงบรรยากาศความขรึมขลังของปราสาทตาพรหมและอาณาบริเวณโดยรอบเอาไว้ ดังนั้นตาพรหมจึงมีมนตร์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลต่างไปจากปราสาทแห่งอื่นๆ ในเมืองพระนคร</i></p> <p><i></i></p> <p></p> <p></p> <p><img src="http://www.muangboranjournal.com/spaw/upload/IMG_1698.jpg" /></p> <p>ภาพใกล้: เห็นลายในวงโค้งประดับผนังซุ้มทางเข้าสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ลายตัวภาพอันหนึ่งแสดงสัตว์สี่เท้า มีเขา (หู ?) ยาวไปด้านหลัง ปากหนางุ้มลง บนแผ่นหลังมีเกล็ดขนาดใหญ่ทรงสามเหลี่ยมตั้งขึ้น เรียงจากต้นคอไปจรดปลายหาง</p> <p>บรรยาย: <i>ไกด์ทุกคนในเมืองพระนครจะต้องนำนักท่องเที่ยวมาที่ยังจุดนี้ก่อนเสมอ เมื่อยามที่ย่างเท้าเข้ามาในปราสาทตาพรหม เขา (หรือหล่อน) จะชี้ให้อาคันตุกะผู้มาเยือนพินิจพิจารณาสัตว์รูปร่างประหลาดในลายวงโค้งตัวนี้ ด้วยว่ามันมีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์กินพืช พันธุ์สเตโกซอร์ (stegosaur) ขนาดความยาวยี่สิบห้าฟุต ที่มีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบล้านปีมาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เรียกเสียงหัวเราะขบขัน และสร้างความพิศวงงงงวยอย่างยิ่งแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองพระนคร มันเป็นไปได้อย่างไร ? ผู้คนในมหาอาณาจักรที่มีอายุเพียงชั่วสหัสวรรษจะรู้จัก กระทั่งเคยเห็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปเนิ่นนานแล้วนี้ได้อย่างไร ?</i></p> <p><i></i></p> <p>แล้วท่านล่ะ..คิดว่าปริศนาเรื่องนี้คืออะไรกันแน่ ???</p> <p>ขอขอบคุณ:<a title="http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=News&file=article&sid=470" href="http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=News&file=article&sid=470">http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=News&file=article&sid=470</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-39710319377316203832012-06-19T01:05:00.000+07:002012-06-23T19:17:58.403+07:005. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช<p>อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.1 นครวัด</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.2 นครธม</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.3 ปราสาทต่าง ๆ ในกลุ่มปราสาทนครวัด นครธม</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.4 ปราสาทตาสม </font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.5 ปราสาทแปรรับ </font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.6 ปราสาทตาแก้ว </font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00">5.7 ปราสาทธมมานนท</font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00"></font></strong></p> <p align="left">ขอขอบคุณ:</p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-55793778047216882102012-06-19T01:04:00.000+07:002012-06-23T19:09:24.255+07:004. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์สุวรรณทนาคราช<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><font color="#80ff00" size="4"><strong>ปราสาทนาคพัน</strong></font></p> <table style="width: 602px" border="0" cellspacing="0" cellpadding="2"><tbody> <tr> <td width="200" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtaA03UvO0ay0v738pI7B9i9PxWbUC9iX7CxwFddcOAtcG8yeJ4hsZ-TAmlIJyYAnReWNEN6NHrrYLCwZVbFSLIVenojilc9z7d3XBDjO83Se4I87kHKz8QJSbHoFmh3aOmy4tn_tlvrXK/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทนาคพัน (เนี๊ยกปอน)1" alt="ปราสาทนาคพัน (เนี๊ยกปอน)1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLHKpMfpRtEcNYLt-_frrWS5XrLicSPISk6rE2MINRXXWYFiMxJzWUbyemGP64s3xR5xusrGauHoRAwmb73H2W0yFl4cbjFJziHiJVydw5f1JABCWKLYc8ZPwSq_4yopZFJHIVCXQ-yFCP/?imgmax=800" width="180" height="240" /></a> </td> <td width="400" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9mwRhocE7A6mrMhs4CdbnB5Gg_NlN3d34wsthELEIGlMGxJ1ZAgmiFzlodZBIEDSW80i5cmvqCJObTD4E6b3xCYVb9rxTwo1DPAtYVpqXGDJ2JIFQdpv7dnLISeqw8OKLAnjHYOq6t56T/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทนาคพัน (เนี๊ยกปอน)2" alt="ปราสาทนาคพัน (เนี๊ยกปอน)2" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzISrbq0qSgUH-xwFUjQw4RcD1SXNBZT7zqgBCGWkjUR_TpEH6LKBTqMgBTkCpJA9nBwGOdu7G64FfXmh486Pg4ompDaewKFALUoyKoZwqIAHwzEZBqLuYnJSMVEaZSriG8Xo4VACOV9Gp/?imgmax=800" width="342" height="248" /></a> </td> </tr> </tbody></table> <p align="justify">ปราสาทนาคพัน (เขมร: ออกเสียงว่า "เนียกปวน" ; อังกฤษ: Neak Pean) เป็นปราสาทขนาดเล็ก ตั้งอยู่บนฐานกลมที่มีลักษณะซ้อนลดหลั่นกันลงไปเป็นชั้นๆ ชั้นสุดท้ายเป็นรูปพญานาค 7 เศียร 2 ตัว โอบล้อมฐานของปราสาทโดยหันส่วนหัวไปทางทิศตะวันออก และส่วนหาง วนอ้อมฐานมาบรรจบกันทางทิศตะวันตก ที่ฐานของปราสาทจำหลักรูปดอกบัวรองรับตัวปราสาท และมีรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประดิษฐานอยู่ที่ปราสาททั้ง 4 ทิศ <br />ปราสาทนาคพัน สร้างอยู่กลางสระสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดเล็กตั้งอยู่โดยรอบทั้ง 4 ทิศ แต่ละบ่อมีส่วนที่เชื่อมต่อกับสระใหญ่ตรงกลางเพื่อให้น้ำจากสระใหญ่สามารถไหลไปสู่บ่อเล็กได้ การก่อสร้างปราสาทนาคพันน่าจะเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อทางศาสนา ผังของปราสาทเป็นลักษณะการจำลองของสระอโนดาต สระอโนดาตเป็นสระน้ำบนสวรรค์มีน้ำที่ใสสะอาดและเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา มีท่าน้ำอยู่ 4 ท่า น้ำในสระอโนดาตจะไหลออกตามช่องภูเขาที่ตั้งอยู่ทั้ง 4 ทิศของสระ ซึ่งปากช่องของภูเขาแต่ละลูกจะเป็นรูปหน้าของสัตว์ 4 ชนิด คือ สิงห์ ช้าง ม้า และวัว <br />ใน "ย้อนรอยอารยะเมืองพระนคร" ซึ่งเขียนโดย ชากส์ คูมาร์เชย์ และแปลโดยอาจารย์วีระ ธีรภัทร ได้กล่าวถึงรูปจำหลักในทิศทั้ง 4 ของปราสาทนาคพันว่า ที่สระน้ำทางทิศตะวันตกมีหินสลักเป็นรูปหัวมนุษย์ สระน้ำทางทิศเหนือมีหินสลักเป็นรูปหัวช้าง สระน้ำทางทิศตะวันออกมีหินสลักเป็นรูปหัวม้า และสระน้ำทางทิศใต้มีหินสลักเป็นรูปหัวสิงห์จะเห็นว่าช่างขอมจำหลักรูปหน้าสัตว์ประจำทิศในแต่ละทิศตามคติความเชื่อเรื่องสระอโนดาต แต่ในทิศตะวันตกกลับจำหลักรูปหน้าคนแทนหน้าวัว <br />คติความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทนาคพันมีทั้งความเชื่อทางพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูปะปนกัน ตัวปราสาทกลางสระสร้างตามความเชื่อทางศาสนาพุทธ แต่ไม่ปรากฏรูปพระพุทธเจ้ากลับมีรูปสลักของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแทน</p> <p><b>นาคพัน...Neak Pean...เสียมราฐ กัมพูชา</b> <br />นาคพัน....Neak Pean...ตามเส้นทางสีแดง อยู่ทางขวาของพระขรรค์ ( ตัว D )สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0081/313/124/Us6Qni313124-02.jpg" /> <br />จากถนนต้องเดินเข้าไป 2-3 ร้อยเมตร เราเข้าทางทิศเหนือ แต่ปราสาทหันไปทางทิศตะวันออกนะ <br />ที่เห็นคือเป็นบ่อเก็บน้ำ 5 บ่อ <br />บ่อกลาง ใหญ่ที่สุด เป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ละด้านก็ตรงตามทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก...เปรียบเป็นสระอโนดาตในสวรรค์ ซึ่งจะไม่มีวันเหือดแห้งตราบถึงวาระสุดท้ายของกัลป์ <br />แต่ละด้าน จะมีอีก 4 บ่อ เล็กกว่าบ่อกลาง ทีทางน้ำออกมาจากบ่อกลาง...เปรียบเป็นแม่น้ำคงคา ยมนา สินธุ และพรหมบุตรที่ไหลมาจากสวรรค์</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0083/267/027/tP8g6.267027-02.jpg" /> <br />กลางบ่อใหญ่จะมีปรางค์ประธานฐานกลม มีนาคสองตัว ( ชื่อ นันทะ กะ อุปานันทะ แต่เราไม่รู้เด้อว่าตัวไหนชื่ออะไร ) เอาหางเกี่ยวกันทางทิศตะวันตก ลำตัวอ้อมรอบมา เศียรทั้งเจ็ดของแต่ละตัวหันไปทางตะวันออก ข้างบนจะเป็นเหลี่ยมสี่ทิศ ทางเข้าอยู่ทางตะวันออก... เปรียบเป็น หิมาลัย ...</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/887/462/nWGblV887462-02.jpg" /> <br />ทิศอื่นเป็นประตูหลอก เป็นรูปพระโพธสัตว์ อวโลกิเตศวล ตรงมุมเป็นรูปครุฑ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0080/149/233/NVzDJD149233-02.jpg" /> <br />ตรงกลางบ่อใหญ่ ทิศตะวันออก เป็นรูปม้าพลาหะ ความว่ามีพ่อค้าจากอินเดียไปค้าขานที่ศรีลังกาเรือล่มแล้วไปติดเกาะที่มีนางยักษ์กินคนอยู่จึงอธิฐานขอพระโพธิสัตว์มาช่วย พระโพธิสัตว์จึงอวตารเป็นม้าพลาหะมาช่วย</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0077/930/990/0QppS2930990-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0083/148/827/IVRSpJ148827-02.jpg" /> <br />ทิศอื่นก็มีเรื่องราวนะ แต่เหลือแต่ร่องรอย หินอยู่รูปนี้เห็นร่องรอยทิศตะวันตก และใต้ หางนาคก็ทิศตะวันตก</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0078/853/009/9N8XLe853009-02.jpg" /> <br />ให้เทียบขนาดบ่อใหญ่ค่ะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0081/458/766/vWsmki458766-02.jpg" /> <br />ระหว่างบ่อใหญ่กลางและบ่อเล็กจะมีสันกั้น ตรงกลางของด้านจะมีทางให้น้ำผ่านมาบ่อเล็กโดยซุ้มนี้</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0078/722/574/XEQCd8722574-02.jpg" /> <br />นอกซุ้มก็มีเรื่องราว</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0076/250/722/HwOxCd250722-02.jpg" /> <br />น้ำจากบ่อใหญ่ จะล้นมาลงตรงช่องนี้ ( เปรียบเทียบนะอยู่ในห้องใต้หลังคาซุ้ม )</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0077/675/574/TAY7Mc675574-02.jpg" /> <br />แล้วไหลลงผ่านท่อไปออกในซุ้ม หน้าบรรณของซุ้มก็มีเรื่องพระพุทธเจ้า แต่ในสมัยถัดมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 นับถือฮินดู ก็อาจสะกัดแขนออกให้เหลือเป็นแท่ง ๆ คล้ายศิวะลึงก์</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0079/497/113/X2OZR0497113-02.jpg" /> <br />ทิศเหนือในซุ้มเป็นรูปช้าง .... ธาตุน้ำ</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0077/188/832/.S.Do3188832-02.jpg" /> <br />ทิศตะวันออก เป็นรูปคน แต่เขาคิดว่าเดิมน่าจะเป็นรูปวัว ... ธาตุดิน ไม่มีรูปนะ <br />ทิศตะวันตกเป็นรูปม้า ... ธาติลม ไม่มีรูปเช่นกันแต่มีบ่อ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0081/133/483/SHY6OC133483-02.jpg" /> <br />ทิศใต้เป็นรูป สิงห์ ... ธาตุไฟ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0079/034/845/oubGgq034845-02.jpg" /> <br />ซุ้มและบ่อทิศใต้</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0082/847/392/oEKoap847392-02.jpg" /></p> <p>ขอขอบคุณ <a href="http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=03-2009&date=27&group=17&gblog=13">http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=03-2009&date=27&group=17&gblog=13</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-38343046712981384922012-06-19T01:03:00.000+07:002012-06-23T19:08:50.312+07:003. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์ฉัตรบำเพ็ญสุทัศน์นาคราช<div align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></div> <div align="left"> </div> <div align="center"><b><font color="#80ff00" size="4">ปราสาทพระขรรค์</font> </b></div> <div align="center"> </div> <table style="width: 600px" border="0" cellspacing="0" cellpadding="2"><tbody> <tr> <td width="320" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyU7iXKqpb83SSNOTfGHkCRDwQKUaU7g1TAbXSE3aaWKJKzbcG6n5MnSckv6w_u1qjaq_X_ZX9DvIqCT4VSEzq-y5vYlhkDHgA7gqWt25ulyOH7vLxygRlyj-PZ1jXNQlUFGpex-ymxjVz/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgd7h2dGQNF9rlWZ20HkfJlEAnctWBSgBcIaKlGTQav_MjdzohRTokEluzpjcRWp3JMoN39HMhEiXcUM_bt6zMIRUCN7x-AMOFA81ygB4eTff4kFroFCK7yR7RJWcEtjFNvXGtwb0ZyI8Mh/?imgmax=800" width="180" height="240" /></a> </td> <td width="278" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaWYz3fY64VJ5M-9lNKdkcPPCJhKHV5O0bBpcDb5gFTwC3yzWdlJqMGA2suODHhW5sV2poxhY5qgwxQzrh734rotItr8mezfr7Bg0E60p71sxzJGpBgbU2uqgyz_cp_t7MVG3tlNMvfR1F/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทพระขรรค์" alt="ปราสาทพระขรรค์" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJasktUgKFMVcT6ibnUMYFQDxjjC23gWSaT4K0aJcnvPLKS-XTcYU2v1kpQ5ok84HBj5Ym8UhJV7SNFo-nshOP3Eg15JI6_zD3Ll-9Zdjt2VLbz_c8_RlK04xqYlYyvHnr0rT3wsClTq4o/?imgmax=800" width="160" height="240" /></a> </td> </tr> </tbody></table> <p align="justify"><b>ปราสาทพระขรรค์ เสียมราฐ กัมพูชา</b> </p> <p align="justify">ปราสาทพระขรรค์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1734 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ณ บริเวณที่พระองค์ทรงสังหาร กษัตริย์จามได้ และเพื่อเป็นการถวายแด่ พระบิดาของพระองค์ <br />ปราสาทพระขรรค์ มีชื่อทางราชการว่า ปราสาทชัยศรี หรือโชคลาภแห่งชับชนะ ซึ่งก็หมายถึง ชัยชนะที่มีต่อพวกจามซึ่งเป็นอริราชศัตรู <br />ต่อมาก็ได้รับการขนานนามใหม่เป็น ปราสาทพระขรรค์ เนื่องจากเป็นสถานที่เก็บ พระขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นพระแสงดาบที่พระองค์ทรงใช้สู้ศึกนั่นเอง <br />สิ่งที่น่าสนใจของปราสาทพระขรรค์ได้แ่ก่ <br />- เสานางเรียง ซึีงมีรอยสลักที่สมบูรณ์ <br />- ศิวลึงค์ ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรขอม <br />- รูปสลักครุฑ ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นพาหนะของพระวิษณุ (พระนารายณ์)</p> <p align="justify"> <br />ปราสาทพระขรรค์ ... Preah Khan ตั้งตามชื่ออาวุธ ที่รบ <br />อยู่บริเวณที่เป็นสมรภูมิที่ รบชนะพวกจาม มีชื่อปราสาทอีกชื่อว่า " ชัยศรี " <br />สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อุทิศถวายแด่พระบิดา หลังสร้างปราสาทตาพรหมที่อุทิศให้พระมารดา <br />วันนี้ไปตามเส้นทางสีแดง พระขรรค์อยู่บนสุดตรงกลาง ที่มีอักษร D อยู่</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0081/313/124/Us6Qni313124-02.jpg" /> <br />เราเข้าด้านทิศตะวันตก ทางเดินมีเสานางเรียง ตรงสู่ปราสาท จริง ๆ แล้วปราสาทจะหันหน้าไปตะวันออก ยกเว้นนครวัด</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0076/489/200/81uSOY489200-02.jpg" /> <br />สุดเสานางเรียง จะเป็นสะพานข้ามคู คือสพานนาคราช คือ จากโลกมนุษย์ไปสู่สวรรค์ ราวสะพานเป็นรูปเทวดา และยักษ์ยุดนาค กวนเกษียรสมุทรเพื่อนทำน้ำอมฤต</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0083/655/586/x3SWrv655586-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0076/186/614/XsNWKQ186614-02.jpg" /> <br />ด้านล่างของสะพานก็มีรูปสลัก เพิ่งเห็นก็เมื่อกลับมาดูรูปนี่แหละค่ะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0081/545/262/xErOdh545262-02.jpg" /> <br />กำแพงทำด้วยศิลาแลง มีรูปปั้นครุฑ ( พาหนะของพระนารายณ์ ) เหยียบนาค ทั้งสองข้างของซุ้มประตู</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0078/067/157/qyG11y067157-02.jpg" /> <br />ทับหลังซุ้มประตูกำแพงศิลาแลง ตรงกลางที่ถูกกระเทาะออกไปเป็นพระพุทธรูป เพราะในสมัยต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 นับถือพระศิวะจึงให้กระเทาะรูปพระพุทธรูปออกหมด....ซ้ายขวา เป็นรูปพระโพธิสัตว์</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0080/903/976/UCmuOV903976-02.jpg" /> <br />เจอแผนผังก็ถ่ายไว้ก่อน เราเข้ามาทางเลข 1 ค่ะ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0081/323/495/i.zZBm323495-02.jpg" /> <br />ลอดซุ้มประตูมาก็เป็นอันนี้ค่ะ สองข้างประตูมีรูปปั้นยักษ์คู่ถือประบองเพื่อพิทักษ์ปราสาท</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0076/856/681/V9rnn6856681-02.jpg" /> <br />ซุ้มประตู ตรงไหนจำไม่ได้ค่ะ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0080/586/983/wyPAeE586983-02.jpg" /> <br />ช่องประตู จะเตี้ยลงเรื่อย ๆ เพื่อให้เราก้มลงเรื่อย ๆ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0083/510/317/cYqR1h510317-02.jpg" /> <br />ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0083/624/515/cwU4d.624515-02.jpg" /> <br />อันนี้งง ดูเอาเองเนาะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0082/938/146/yQM5dP938146-02.jpg" /> <br />ด้านข้าง ก็ยังไม่ได้คุ้ยก็มาก</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/756/178/i91SFK756178-02.jpg" /> <br />หน้าบรรณ เดานะ พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ กั้นฝนให้คนเลี้ยงวัว</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0080/626/841/SByI9i626841-02.jpg" /> <br />ในส่วนหมายเลข 4 ตรงกลางมีศิวลึงค์ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดอันหนึ่ง</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0082/145/130/s3lsFJ145130-02.jpg" /> <br />ออกไปทางทิศใต้ของส่วน แถว ๆ เลข 4 ในแผนผัง มีสถูปเล็ก ๆ ที่แกะสลักอย่างสวยงามค่ะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0076/295/562/pz.uOp295562-02.jpg" /> <br />ออกไปทางทิศเหนือของส่วนนี้มีรูปสลัก ฤษีนั่งสมาธิ >>> โยคาสนะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/459/370/dDmmaM459370-02.jpg" /> <br />นางอัปสร...เทียบกับคนที่ยืนข้างหลังนะคะ</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0080/777/384/ijuI6Z777384-02.jpg" /> <br />หน้าบรรณ ???</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0081/832/395/22ysnM832395-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0083/159/988/87c5CO159988-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0083/597/637/6X81Ac597637-02.jpg" /> <br />เป็นเจดีย์ที่เชื่อว่าบรรจุอัฐิของพระบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่แบบไม่เข้ากับสมัยนั้นเลยเนาะ บ้างก็ว่าสร้างทีหลังตามแบบอยุธยา</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0078/239/422/DckgFd239422-02.jpg" /> <br />ตรง ตา หลอด</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0083/035/903/xkkUvL035903-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0080/392/963/dWjlmz392963-02.jpg" /> <br />ทับหลังเหนือประตู ที่ออกไประเบียง ขวา และซ้าย เป็นรูปนางรำ ส่วนรูปพระพุทธ ถูกกระเทาะออก</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0078/553/992/JINNLH553992-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0077/621/688/SubNFm621688-02.jpg" /> <br />ศาลานี้แปลกที่เสากลม เหมือนศิลปโรมัน อยู่ทางทิศเหนือของประตูเข้าด้านทิศตะวันออก</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0076/123/007/8hdjDg123007-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0081/769/541/5AANyd769541-02.jpg" /> <br />ที่นี่ก็มีตันสะปง</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0077/660/807/NvTyRg660807-02.jpg" /> <br />พลับพลาทางเข้า ด้านทิศตะวันออก</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0076/785/647/kVFVNa785647-02.jpg" /> <br />อโรคยาศาลาอยู่ทางทิศเหนือของทางเดินหน้าพลับพลาด้านตะวันออก ตรงไปประตูรั้ว หรือบ้านมีไฟ ที่ตาพรหมก็มี เหมือนกัน</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0081/321/971/GOpAO4321971-02.jpg" /> <br />กำลังจะออกประตูรั้ว ด้านทิศตะวันออก</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0076/218/561/dzv0xU218561-02.jpg" /> <br />ด้านนอกกำแพงมีครุฑเหยียบนาคเหมือนกันค่ะ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0077/417/931/4gnhFb417931-02.jpg" /> <br />ออกมานอกซุ้มประตูรั้ว ก็เป็นสะพาน เทวดาและยักษ์กวนเกษียรสมุทรเหมือนทางตะวันตก</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0080/776/035/EF.R0t776035-02.jpg" /> <br />แล้วก็เป็นเสานางเรียงออกไปค่ะ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0079/185/895/eQt4VG185895-02.jpg" /> <br />แต่เสานางเรียงสุดท้ายที่ติดสพานนาคราชที่มี รูปพระพุทธรูปเดียวที่ไม่ถูกทำลาย</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0082/468/262/hyV1SP468262-02.jpg" /> <br />กองหินที่เห็นนั่นแหละค่ะที่ตะกี้เราลอดผ่าน จากขวามาซ้าย</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0080/096/069/zHqBmx096069-02.jpg" /></p> <p>ขอขอบคุณ:<a href="http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tuk-tukatkorat&month=25-03-2009&group=17&gblog=12">http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tuk-tukatkorat&month=25-03-2009&group=17&gblog=12</a></p> <p><b>+ + + ทับหลังศิลปะบายน ที่ ปราสาทพระขรรค์ : Lintels at Prasat Preah Khan + + +</b></p> <p><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218985452.jpg" /> <br />เข้าเรื่องเลยนะครับ ปราสาทพระขรรค์ สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุก็เกือบพันปีแล้ว เป็นพุทธสถาน ประกอบด้วยหมู่อาคารขนาดใหญ่ มีอะไรให้ชมเยอะแยะ คราวนี้ผมขอเจาะเฉพาะส่วนของ ทับหลัง อาศัยหนังสือ Images of Gods ช่วยให้ข้อมูลของทับหลังที่น่าสนใจ จะได้ไม่เสียเวลา <br />แต่พอเอาเข้าจริง มีทับหลังให้ดูเยอะมากๆ  ทั้งที่ยังประดับอยู่บนปราสาท กับที่วางอยู่ข้างทาง รวมไปถึงที่เขายกไปวางรวมกันเป็นกองภายนอก เช้าวันพุธผมเริ่มสำรวจจากโคปุระตะวันตก เดินเข้าสู่ศูนย์กลาง แล้วเลี้ยวไปโคปุระทางทิศใต้ ก่อนจะวนย้อนเข็มนาฬิกาไปทางทิศตะวันออกและกลุ่มอาคารทางทิศเหนือ เพียงแค่ดูส่วนของ ทับหลัง ยังไม่พอเลยครับ ไม่ต้องพูดถึงส่วน หน้าบัน ลายสลักส่วนอื่นๆ มาเขมร 3 รอบ ไม่เคยพลาดที่จะมาชมปราสาทพระขรรค์แห่งนี้ทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่จุใจซะที <br />ตำแหน่งและชื่อเรียก <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219039262.jpg" /> <br />จากภาพเป็นประตูหนึ่งทางทิศใต้ของปราสาทพระขรรค์ <br />สามเหลี่ยมสีแดง ด้านบนคือ หน้าบัน <br />สีน้ำเงิน เหมือนเสา คือ เสาประดับประตู <br />กรอบสีเขียวด้านซ้ายคือ กรอบประดับประตู คราวที่แล้วพาชมที่นครวัด นั่นล่ะครับ <br />ส่วน กรอบสีเหลือง เหนือประตู คือ *** ทับหลัง *** ที่จะพาเที่ยวดูวันนี้ล่ะครับ <br />ตามผมมาชมปราสาทพระขรรค์กันครับ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219051456.jpg" /> <br />ทับหลังที่จะพาชมวันนีเป็น ทับหลังประดับ นะครับ ใช้ในการประดับด้านบนประตูศาสนสถาน อ. ทรงธรรม คณะโบราณคดีให้ความรู้ว่า ทับหลังที่รับน้ำหนักจริงๆ เป็นโครงสร้างด้านใน แต่ช่างขอมได้คิดค้นสลักเสลาเพิ่มเติมความงดงามภายนอกด้วย ทับหลังประดับ ที่เราเรียกกันติดปากว่า ทับหลัง นั่นเอง <br />ทับหลังแบบบายนมีลักษณะเด่นดังนี้ครับ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218981309.jpg" /> <br /><u>พวงมาลัย</u> (ลูกศรสีแดง) <br />ไม่ต่อกันเป็นเส้นยาว แต่ละวกลงเป็นวงโค้งซ้ำกันไปจนสุดด้านยาว หลายชิ้นจะโค้งม้วนเป็นวงกลมเรียงแถวด้านล่างเลย <br /><u>ภาพบุคคลตรงกลาง</u> (ลูกศรสีเขียว) <br />ส่วนใหญ่เล่าเรื่องพระพุทธศาสนา แต่ภาพสลักพระพุทธรูปตรงกลางถูกกระเทาะออกหรือสลักเปลี่ยนเป็นศิวลึค์ในสมัยต่อมา <br />หน้ากาล (ลูกศรสีน้ำเงิน) <br />ตำแหน่งอยู่ตรงกลาง ตกลงมาอยู่นอนแยกเขี้ยวด้านล่างสุด สมัยก่อนหน้าบายนหน้ากาลจะลอยอยู่กลางๆ ทับหลัง ไม่นอนแอ้งแม้งแบบสมัยนี้ <br />ด้านบนพวงมาลัยจะมี <u>ลายใบไม้</u> (ลูกศรสีเหลือง) ประดับเต็มไปหมด <br />ชิ้นนี้ด้านล้างขดเป็นวงกลม มีเทพพนมแทรกตามลายใบไม้ด้านบน <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050608.jpg" /> <br />+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + <br />มาดูกันว่าที่ปราสาทพระขรรค์นี้มีทับหลังอะไรน่าสนใจบ้างนะครับ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983124.jpg" /> <br />จากประตูตะวันตก อันแรกที่เห็นคือ ทับหลังภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรพร้อมผู้ทำความเคารพด้านล่าง มี 2 จุด ซ้ายขวา ส่วนภาพตรงกลางที่หายไปน่าจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าครับ เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนับถือกันว่าเป็นผู้มาโปรดสัตว์โลก มีสี่กร จะพบเห็นภาพสลักบ่อยๆ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986979.jpg" /> <br />ถึงจะเป็นพุทธศาสนสถานแค่ก็มีภาพสลักของทางศาสนฮินดูอยู่ด้วย แต่จะสลักเรื่องทางพระนารายณ์เสียมาก อวตารต่างๆ ของพระองด์และเรื่องราวในมหากาพย์รามเกียรติ์ ภาพพระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ ยอดฮิตติดท็อปชาร์ตตลอดครับ คงเพราะสื่อให้เห็นว่าพระเจ้าให้การคุ้มครองคนของพระองค์ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218981832.jpg" /> <br />พระกฤษณะ องค์ใหญ่ตรงกลาง ทรงมงกุฎ 3 ยอด ยกพระกรซ้ายขึ้นรับน้ำหนักของภูเขาโควรรธนะ เพื่อเป็นร่มกั้นฝนที่พระอินทร์ส่งมาลงโทษบรรดาคนเลี้ยงวัวที่เลิกบูชาพระองค์ เบื้องขวาองค์เล็กกว่าหน่อยคือ พระพลรามพระอนุชาต่างมารดา เหมือนคู่พระรามพระลักษณ์น่ะครับ ขนาบสองข้างเป็นรูปคนเลี้ยงวัวและโคตัวน้อย <br />ทับหลังเล่าเรื่องรามเกียรติ์ โดยมีพระรามประทับยืนโน้มพระองค์ลงกับคันศร พระลักษณ์ยืนประทับอยู่ด้านข้าง และนายพลวานร น่าจะเป็นหนุมาน นั่งหน้าลิง รอรับคำสั่งอยู่ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219049618.jpg" /> <br />ชิ้นนี้งามดีครับ รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ถือสิ่งของไว้ครบทั้งสี่กร หน้ากาลและสิ้งคายพวงมาลัยยังทำหน้าที่อย่างขมีขมัน ลายใบไม้ด้านบนดูอ่อนช้อย รับกับกลีบที่รองรูปพระผู้โปรดสัตว์ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218981489.jpg" /> <br />ศิวะลิงค์ประดับตามจุดในปราสาทพระขรรค์ แต่ ณ ศูนย์กลางปราสาทประธานเป็นพระเจดีย์ทรงลังกา <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218982619.jpg" /> <br />ภายในมีทับหลังตอน พระกฤษณะปราบนาคกาลียะอยู่บนพื้น วางทับด้วยชิ้นส่วนเสาประดับประตูอีกที ดูว่างานยังหยาบอยู่นะครับ แกะยังไม่ถึงเนื้อลึก <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219049783.jpg" /> <br />หินสลักที่วางอยู่นี่ไม่ใช่เสานะครับ เป็นทับหลังที่ทานแรงโน้มถ่วงไม่ไหว ภาพตรงกลางเป็น ฤาษี หรือ โยคี กำลังถวายของแก่เทพเจ้า หรือกำลังให้พรแก่กันก็ได้ เสียดายภาพด้านบนกร่อนหมดแล้ว เลยไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันแน่ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219049910.jpg" /> <br />ทับหลังที่ยังอยู่ประจำที่นี้ เกือบสมบูรณ์ รูปเทพตรงกลาง ทำท่าโปรดคนขนาดเล็กด้านล่าง อาจจะเป็นภาพพระโพธิสัตว์ หรืออาจเป็นเรื่อง พระเวสสันดร ตอนประทานกัญหาชาลีก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ปรากฏรูปชูชกนะครับ หนังสือ Images of Gods บอกว่ามีทับหลังวางบนพื้นทิศตะวันออก แต่ผมหลงหูหลงตาหาไม่เจอ สิงห์คายพวงมาลัยสองข้าง ก่อนม้วนลง มีช่ออุบะมีคั่นแทรก บนอุบะมีช่อดอกบัวทำเป็นบัลลังค์ให้พระพุทธเจ้า ช่องด้านบนที่แหว่งไปคือ ภาพพระพุทธเจ้าที่ถูกกระเทาะออกไปภายหลังครับ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219049876.jpg" /> <br />+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + <br />ณ มุมหนึ่ง ผมหลบแดด อยู่มุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่ต้นมะละกอโผล่ออกมาจากปราสาท ประตูหลอกมีคนเอาท่อนไม้มารับน้ำหนักที่บีบอัดไว้ และทับหลังบนประตูก็งามน่ายล <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983212.jpg" /> <br />เป็นรูปบุรุษอุ้มสตรีบนตัก ด้านล่างเป็นบุรุษกำลังสู้กับม้า <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219049952.jpg" /> <br />และก็มาถึงจุดไฮไลท์ของปราสาทพระขรรค์ (ที่ผมทึกทักเอาเอง) อิอิ คือภาพการออกผนวชของเจ้าชายสิทธิทัตถะ คร้าบบบบบ <br />หน้าบันและทับหลังแบบเต็มๆ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983443.jpg" /> <br />ชิ้นทับหลังแบบเน้นๆ ครับ วงกลมสีแดงด้านบน เจ้าชายสิทธิทัตถะกำลังจะบั่นพระเมาลีเพื่อเข้าสู่สภาพนักบวช ขณะที่กรอบสีเหลืองด้านล่างคือ นายฉันนะ และม้ากัณฐกะพาหนะพาเจ้าชายหลบออกมาจากพระราชวังกลางดึก <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983294.jpg" /> <br />+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + <br />ทับหลังนี้เจอบ่อยพอๆ กับภาพพระกฤษณะยกเขาโควรรธณะ เป็นรูปชาย 2 คนชูแขนขึ้น ในมือเหมือนกำไม้ยาวเหมือนเลื่อยไว้บนเศียรของบุรุษที่คาดว่าน่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ตถ้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะดูคล้ายเป็นรูปคนกำลังสลักพระพุทธ หรือ กำลังทุบพระองค์อยู่ก็ได้ ภาพพระพุทธเจ้าตรงกลาง ถูกกำจัดออก <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218985238.jpg" /> <br />ตามที่หนังสือ Images of Gods บอกไว้ว่าเป็นภาพตอน ทรมานพระพุทธเจ้า / พระเตมีย์ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983528.jpg" /> <br />แต่ภาพสลักบางภาพที่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ปรากฏตรงกับในคัมภีร์ใดๆ เลย ก็ทำให้นักวิชาการสันนิษฐานแตกต่างกันไป คือไม่เคยมีกว่าว่ามีอสูรใดมาทรมานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเลื่อย  มีเพียงตอนที่เสวยชาติเป็นพระเตมีย์ใบ้ ที่ถูกทหารทรมาณเพื่อพยายามจะให้พระองค์พูดให้ได้ แต่ในชาดกตอนนั้นอาวุธที่ใช้เป็นดาบคมกริบ ไม่ใช่ไม้ยาวๆ เหมือนที่เขมรนี่ ฉะนั้นจึงต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันกันต่อไป <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219051281.jpg" /> <br />ภาพพระพุทธเจ้าภายหลังถูกทำลายไปเสียมาก <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050572.jpg" /> <br />ส่วนทับหลังที่เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงกลาง จะเหลือประมาณนี้ครับ วางอยู่ข้างทางในปราสาททิศใต้ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218985793.jpg" /> <br />ด้านล่างจะเป็นผู้ที่นำของมาถวาย หรือจะเป็นเหล่าเทวดา ส่วนใหญ่จะเป็นพระพรหมและพระนารายณ์ โดยพระพรหม สี่กร สี่พักตร์อยู่ทางด้านขวา พระนารายณ์ สี่กร เหมือนกัน อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นการแสดงว่าพระพุทธศาสนาอยู่เหนือศาสนาฮินดู ณ ช่วงเวลานั้นนะครับ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983731.jpg" /> <br />ทับหลังนี่น่าจะอยู่ทางทิศใต้ เห็นมั้ยเอ่ย <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218985941.jpg" /> <br />ที่รอดมาเยอะคือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเพราะมีสี่กร คล้ายกับพระเจ้าในศาสนาฮินดู มองเผินๆ ก็นึกว่าเป็นพระนารายณ์ แต่ถ้าเป็นภาพสลักขนาดใหญ่อย่างที่ปราสาทนาคพัน เขาก็แค่เติมตาที่ 3 ที่หน้าผากให้เป็นพระศิวะไป เลยมีทับหลังรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเหลือให้เราชมกัน <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050542.jpg" /> <br />มีที่เป็นเทพประจำทิศก็มี พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ โผล่พ้นกองหินปรักหักพัง <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218983961.jpg" /> <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218985100.jpg" /> <br />+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + <br />เมื่อมองออกมาจากอาคารทิศใต้ จะเห็นทางเดินเล็กๆ ผ่านป่าเขียวครึ้มเรื่อยไปจนถึงโคปุระทางทิศใต้ ตอนเดินไปนี่ก็หวั่นๆ อยู่ เพราะระยะทางพอสมควร ข้างๆ ก็เป็นป่ารกทึม เสียงนก แมลงสลับกับเสียงกิ่งไม้หักทำให้คิดไปต่างๆ นานา แต่ก็ไปถึงจนได้ สะพานด้านนี้ไม่เหลือยักษ์และเทวดายุดนาคระหว่างการกวนเกษียรสมุทรที่สมบูรณ์ให้ดูแล้ว กำแพงผุพังและคูน้ำก็ติ้นเขินพอๆ กับโคปุระที่ยังไม่ได้รับการบูรณะ แต่ก็ให้บรรยากาศน่าค้นหา <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986224.jpg" /> <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986070.jpg" /> <br />ที่นี่มีทับหลังรูปพระพุทธเจ้าเหลืออยู่บ้างครับ ไม่รู้ตอนที่เขาทำลายรูปพระพุทธองค์หลังสิ้นรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั้น หลงหูหลงตาไปได้ยังไง <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219051553.jpg" /> <br />แต่ก็เป็นงานหนักเหมือนกันเพราะพระองค์สร้างปราสาทไว้มากมาย และสลักภาพพระพุทธเจ้าไว้เต็มไปหมด คนที่รับคำสั่งมาคงจะเหนื่อยเป็นเหมือนกัน อะ กลับมาดูโคปุระทิศใต้กัน ทับหลังชิ้นงาม วางเอียงกะเท่เร่บนไม้ค้ำยันประตูด้านข้าง <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218987092.jpg" /> <br />เป็นรูปตอน พระกฤษณะปราบนาคกาลียะ ตอนที่ช่างสมัยก่อนนิยมสลักกันมาก เสียดายส่วนเศียรหักหายไป แต่ยังพอมองเป็นเป็นรูปบุคคล ด้านหลังเป็นนาคหลายเศียร <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218987267.jpg" /> <br />ย้อนกลับไปทางกลุ่มอาคารด้านในอีกรอบ ทับหลังชิ้นนี้หล่นบนพื้น ข้างๆ ป้ายเตือนอันตราย <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986332.jpg" /> <br />ดูชัดๆ ซิ ตอนอะไรน้อ ตรงกลางเป็นรูปสตรี พระกรขวาถือดอกบัว ด้านล่างมี เทวดา / กินรี / ยักษ์ ? 2 ตน ถ้าผมเดาก็อาจเป็น พระลักษมี แต่ ด้วยเจ้าตัวด้านล่างถืออาวุธเหมือนจะฆ่ากัน คงจะเป็นตอน อสูรสองตน แย่งนางอัปสร ติโลตตมา (Tilottama) <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986456.jpg" /> <br />+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + <br />เดินมาถึงทิศตะวันออก มองดูเวลาที่กระชั้นเข้ามา นัดคนขับรถตอนเที่ยง แต่คงไม่ทันแหงๆ ดูทับหลังกันดีกว่า ชิ้นนี้ถูกวางไว้บนพื้น น่าสนใจ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986607.jpg" /> <br />ไปดูใกล้ๆ เป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ประกอบด้วยเทพพนมทั้งสองข้าง งานสมัยบายนจะไม่ค่อยละเอียดเท่าใดนัก คงเพราะต้องรีบสร้าง และสถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อบราบรื่น สู้รบกันบ่อยๆ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218986875.jpg" /> <br />วนเข้ายังหมู่อาคารทางทิศเหนือ ส่วนใหญ่ยังแกะสลักไม่เสร็จสิ้น ขนาดตัวอาคารยังเป็นหินหยาบยังไม่โกลนให้เรียบเลย แต่ส่วนทับหลัง ช่างก็ทำเสร็จไปบางส่วน อย่างเช่นชิ้นนี้ครับ วางทอดพักเอาไว้บนฐานหินสองฟาก ตรงกลางเป็นรูปผู้บูชาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050477.jpg" /> <br />ข้างในหมู่อาคารไม่สูงมาก ต้องก้มหัว เหมือนเป็นการคารวะ ที่ทางเข้านี้ท่าทางน่าสนใจ เห็นหลายแขนซะด้วย <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050072.jpg" /> <br />น่าจะเป็นตอนพระนารายณ์จับอสูรที่แอบเข้ามาขโมยน้ำอมฤต หลังกวนเกษียรสมุทรนะครับ เพราะคล้ายที่ปราสาทบายน แต่ไม่ยังกะเห็นหม้อน้ำอมฤต ดูว่างานยังไม่เสร็จดี หรือจะเป็นตอนยักษ์วิราธจับพระรามพระลักษณ์ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050103.jpg" /> <br />อ้า นี่ก็สวยครับ  ด้านบนเป็นทับหลังรูป พระศิวะนาฏราช (พระอิศวรเต้นรำ) ลดสายตาลงมาที่ทับหลัง เป็นตอนอะไรเอ่ย <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219051137.jpg" /> <br />เห็นยกแขนข้างเดียวนี่ เดาไม่ยากแล้วใช่มั้ยครับ เจอกันบ่อยคือตอน พระกฤษณะยกเขาโควรรธณะ คราวนี้พระพลรามอยู่ข้างซ้าย เห็นรูปคนและวัวหมอบลางๆ ตรงด้านล่าง <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219051218.jpg" /> <br />ทับหลังชิ้นนี้ ผมดันดูแต่ตรงรูปครุฑยุดนาคด้านบนครับ เด่นเชียว แต่มาเห็นภายหลังว่าจริงๆ แล้วกำลังเล่าเรื่องด้วยนา ถ้าจำได้จากบล็อก นครวัด ที่ ปลายเท้า จะคุ้นกับรูปบุคคล 2 คน ถูกจับขาไว้โดยสัตว์ประหลาด Kabandha <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1219050326.jpg" /> <br />+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + <br />ตกหล่นตรงไหน ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ <br />ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์กังวล อาจารย์ทรงธรรม และทุกท่านที่ให้ความรู้ และขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมบล็อกนะครับ <br /><img src="http://www.bloggang.com/data/derek/picture/1218982117.jpg" /> <br />คำค้น: ปราสาทพระขรรค์ ทับหลัง พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 Prasat Preah Khan, Lintel, Buddha, Bodhisattva Avalokitesvara, Jayavarman 7th</p> <p>ขอขอบคุณ:<a href="http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=derek&month=19-08-2008&group=1&gblog=43">http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=derek&month=19-08-2008&group=1&gblog=43</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-8026204542028880382012-06-19T01:02:00.000+07:002012-06-23T19:07:48.871+07:002. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์อินทรนาคราช<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><strong><font color="#80ff00" size="4">ปราสาทวิเมียนอากาศ (พิมานอากาศ)</font></strong></p> <table style="width: 601px" border="0" cellspacing="0" cellpadding="2"><tbody> <tr> <td width="302" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6MkUsDyoQnsVF5QQ8PKqm2axPIdBXQIlE9Bjceqjqbtmb8RDIYzcbT-_zBh9_aTvCA8wBzQ0g2bTqS0wWIvbMbv9iLfEyzjJeCgD-JT1svAQDBUczg4SsKigaxv2BZ535ZbiRp7K6mroN/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ (พิมานอากาศ)" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ (พิมานอากาศ)" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCxUDRCpO3ZeB_mtV7t7t8Qg4OAw4KjVWMzQj20SAnFLqK8IZlWSqX6obhyphenhyphenviWSrS7o9VwNj7hO9iVxcp2SzAvfkdZedRdoIoVxeosAtMTz1zXHg3oVPDQzkQlltN44ZDIon6r4p6DjoCg/?imgmax=800" width="267" height="209" /></a> </td> <td width="297" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfeSBN86v-33jQMBcbzSUyIeWD5VEHhFP1DT-LWRYrZWEK37VxyVCFjSTPRMYLYRB5D2jk5f8eaYiRwygClzertVHaewSNNjN2r854BrpAfT-wvRWJ5moG_LiMGtoiuIOU_90vb4GtLxJw/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ1" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ1" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBjHjZAeNqy6E_VHo0BoMm2wt7t8faMrUd6iiAnN5BdCVQ63WB-4UF6GZ6-6SQDq2dURM1OP2fT_imgShYPOCCjaWHACHNdBph6BeB06apKMfS9K1i9oaGpKJKPODGeNHtxnXnCTC4Av96/?imgmax=800" width="267" height="209" /></a> </td> </tr> </tbody></table> <p align="justify">ตามจารึกของขอมทำให้พออนุมานได้ว่า เกี่ยวกับปราสาทพิมานอากาศอันเป็นสถานที่พบศิลาจารึก ทำให้ต้องคิดคำนึงไปถึงปราสาทแห่งนี้ว่าน่าจะเป็นศาสนสถานที่ไม่เหมือนกับเทวาลัยอื่นๆ ของเมืองพระนครเป็นแน่ คือเป็นศาสนสถานที่มีความสัมพันธ์กับสตรีค่อนข้างโดดเด่น นั่นก็คือกระเดียดไปทางลัทธิตันตริกค่อนข้างมาก <br />ลัทธิตันตริกนั้นมีที่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อเกิดศาสนาใหญ่ๆ ขึ้น คติและลัทธิตันตริกก็หาได้หมดไปไม่ ยังแทรกซึมอยู่ในศาสนาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นฮินดูหรือพุทธมหายาน จึงเป็นสิ่งขับเคลื่อนให้สตรีกลายเป็นเทวสตรีที่มีบทบาทในการจรรโลงโลก <br />ทั้งพระนางทุรคา พระนางกาลี พระลักษมี และนางปรัชญาปารมิตา คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจน</p> <p>     <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkEZbFIlzlbqY9I8A0CII_rGQm9GnBsPuBeqp2LFXrX73OVXR_FFEsG3WWCrX1F0V0ddFn-NLn6FHG4H2TnwDR_AFrjJop3Zh-eoUUajae9XmLpuT-kPQjQOSeTNp58XrpRzgD4x25hRG8/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ2" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ2" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4_IM6k0YIKAwunQ7PuzlD7W_eNXmnFaG-RWm6fCWICGymkWXPXTzOSdcxTwRxzZr9MERqbpj9xHGoauthZdqiE60i66mBkauL-eaNNRypPT36s1Rjj8To7Z5_v8WU_BY5JZrbZTUpnU6o/?imgmax=800" width="197" height="249" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5d4JnFpc7kay-4J14dwajKy6_5wxmLvvi_exueEfNtbVmr1lrityf9o5OiHZTgUr9qG5AVg_-zTKW11PN0XJQVDa5ZhN-0znm3-4WmvqpeKEbagvBB2YTq1qUZXd8Q1FLiubb6gpRmd8E/s1600-h/Image.jpg"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ3" border="0" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ3" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJrEObk_PfKJug9PohqEuXN-lovRd9PWjN2f60bmImVzgtgTFn3dHQYP5Q6wFrWjmf_Rrm51dSBFAtwGqPdYYV_t88ylDEEeR6CXANX-fNMGWQwxHeKhC7e0ymvtGGwfTEo9uz8a_veGEo/?imgmax=800" width="325" height="250" /></a> </p> <p align="justify">ศิลาจารึกของขอมเอง ทั้งในสมัยยโศวรมัน ผู้สร้างเมืองพระนครในพุทธศตวรรษที่ 15 และในสมัยชัยวรมันที่ 7 ในพุทธศตวรรษที่ 18 ที่กล่าวถึงการแต่งงานของพระนครกับแผ่นดิน เพื่อทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้น <br />เนื้อความเช่นนี้ได้สะท้อนให้เห็นในบันทึกของโจวต้ากวาน ที่เข้ามาเมืองพระนครใน พ.ศ.1839 ว่าพระมหากษัตริย์ขอมจะต้องไปสมสู่กับนางนาคที่ปราสาททองในพระราชวังทุกคืน ถ้าหากวันใดที่ไม่ไปหลับนอน ก็หมายถึงวันนั้นเป็นวันสวรรคตของพระมหากษัตริย์ <br />ปราสาททองนี้คือพิมานอากาศ คงเป็นศาสนสถานสำคัญในคติทางตันตริกที่แทรกอยู่ในทั้งฮินดูและพุทธมหายาน ที่มุ่งเน้นความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองที่เคยมีมาแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว</p> <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjziPK_A-ntiSJpPGPtBzLV2r-W-R4rn9ncATgOEP7jCOmIx2C1TjVTMso17JfZOq3WWH7aA-GOD7uzedbKu6V8Gdl5i4xrigQQ3zCaDbDIpBEvxOTlxOUcy8GJUxubd7I3V4nfGZ5hcRV8/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ4" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ4" align="left" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6iXoOmMZ1R1k2AoSFp-R03wSWOJ9d7_aFaTfX-tXPJyYC7xnzcrht7uC7LC4Z7zX8Ju9Pwi7AxaSY8bWpDuu8OKAVZjOWAiU1yxuMfA4YLNdQ0kszIOqDK00vandU56mr1jLYUlB1o1J3/?imgmax=800" width="240" height="180" /></a> เรื่องกษัตริย์สมสู่กับนางนาคนี้ ไม่พบเฉพาะจดหมายเหตุของโจวต้ากวนเท่านั้น ในตำนานไทยก็มีแพร่หลาย เช่นเรื่องกำเนิดพระร่วงสุโขทัย ที่เกิดจากการสมสู่ของกษัตริย์กับนางนาค ของอีสานและลาวก็มีเรื่องนาคและการสมสู่กับนาคหลายเรื่อง</p> <p></p> <p></p> <p></p> <p> </p> <p> </p> <p align="justify">การเรียงหินสวยงามมาก เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสองที่ไทยเราเอาแบบอย่างมาไม่ผิดเพี้ยน ผมดื่มด่ำกับความสวยงามของระเบียงชั้นที่สองอยู่พักใหญ่ๆก่อนที่จะเคลื่อนที่ขึ้นไปชั้นที่สาม <br />ชั้นนี้แหละที่กษัตริย์ต้องขึ้นมาสมสู่กับนางนาคทุกคืน</p> <p>                         <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiK9KJ29S1dtuhdlN1FHe1-X9nAafEF_3L-cVGouIev0w0bsNLWUiN6Z9Rjd4FKrheefDcClqFUk8q9aBiF8kWDPEVBHg_ogrrOeHfV0eMqq5dsLJwAL2j19qpCAerhokqj7Nl0TCP8PLf/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ6" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ6" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN1QAHm-8N-Cd1d3TlzZrFldx5rMwKLHahnzZJhZHPc-i6v1tU_baNCsNUFZ74V-kmgOx3mTS8K1hCknYwYh8VAO0EEUQz_zlHirIbJGxbHIDTxO3l4_A2acp-IK7I_LNsLyzbQATJgCRo/?imgmax=800" width="180" height="240" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEFvDNvibDA5m0H_vVeDgWOW2QIjz-J1JBNwiP5T3AOfg_0MqBP9h_SfYI0r8kGYz5ot8cGxFozqbce9uZm7nE8EHHb8fOmvwSfTXMzSviMfunJgIP5grc4J5G7QVjSXdoGK3LN84JHhc-/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ7" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ7" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfjJlUdH8ZLOg99jXb6F7FD11PoqyjGV_oDeaqDXoDa8ajrZ8uYaHfXPZjq6cnsTebUXduYNS-S5aHZmL61xeir3LYWYl-HSU1c_WYK75TmyhfIE1paPURP3ro2RuIPlUpHUKROLg_V8LT/?imgmax=800" width="180" height="240" /></a> </p> <p align="justify">ขึ้นไปถึงห้องชั้นสามแล้วครับ มองกลับลงมาถึงรู้ว่าทำไมถึงเรียกที่นี่ว่าพิมานอากาศ วิวสวยมากจริงๆ โจวต้ากวานเรียกที่นี่ว่าปราสาททองสมัยนั้นคงสวยมากๆ</p> <p></p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMuuwwxiu4-WGimlGyJRCMsQxYhN-ESaMc1QKuBpp_G5luLcdC8EXQdF1KD809iyJoG80QmGkjiSJ2hnyNexIaEu-prxggJ-hrmEh_Cuh7yH7oF9EL_gg8fQ3XzHFEoWKAjvO0KviuojYg/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ8" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ8" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8WR897lHnMtwKjemgmls3YWpUEjUW0cp1ttfvA_M_ACHZZcSKEc2nZs0vSeoK1wKfOsZcYn8WCzRCG2r0U3O6Fly-WSTCFqCI4AplO2oK7aEyJC9bDwKOni7ZGow1aapT38HzuE3SFHKi/?imgmax=800" width="252" height="192" /></a></p> <p align="justify">อีกมุมหนึ่งของพิมานอากาศ ขึ้นมาที่นี่รู้สึกเหมือนอีกโลกหนึ่งแยกออกจากข้างล่างแม้เวลาจะผ่านไปเกือบพันปีก็ยังได้บรยากาศนั้นศาสนสถานสำคัญในคติทางตันตริกแทรกอยู่ในทุกอณูหินของปราสาท</p> <p align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbhabieFNy9PSzBVhlJmhZPKy5moAHk285PD5o9p82iBBizE_LDnDSUVFD1_fsaHj5jzol3mcOO4l27GE-dYWx5Znr_ydbuz65CNgcV62RvLtP_zX3xU1Bf68jugGBZig46OEQYlpmXblQ/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ9" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ9" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjs0ddlbiDUWkAeGaHZD615oKBThbzvqbUd2Hj56XhyXsLYPIKyyOinZoe-HJYzjhREgLdCNGsVVl7RmbcqWcjtrLMb2xYRj3y_rRNVshONuD3Rjol3xPzCPTRxbPb4Fm9zSpiOCgeUIcyV/?imgmax=800" width="180" height="240" /></a></p> <p align="justify">เข้าไปแล้วครับสภาพปัจจุบันมีแต่หินระเกะระกะ หลังคาถล่มลงมานานแล้วเหลือแต่หินกำแพงบ้างเป็นบางส่วน วิมานของนางนาคเหลือเพียงเท่านี้แต่ก็ยังได้ความรู้สึกดีๆครับ</p> <p>      <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh43k5rTM4KYhrDFmrHzqHualYMdyL6Xjun895F8oOmyYOMVo3DIwGrd3VgFdW7KUHXe99z3heDaTNRBO5F8nHUulXPdp6XmzcXLXlHA_dLFC_V7lMNY9gOPfD7kDpgRmJWzKqz6aQp8z1B/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ10" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ10" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAO3O2vxypIe-9560r6J7iTgbxYMqlIOnk32ehibGy38mUv7vFzAW_iM6T5VC6uc8t_7FMHosLXjUSQON4lALUtMev1uFVvDXXStFbb5yZm4x106-_avxV71Xijr2SfT6dA_dwb4q7GhTy/?imgmax=800" width="314" height="242" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiE4k8Trev5CAtJz7WUsbfeft_cilRXzo2vx_a7H3GJusWuSmEnG661E97f5tENb_wfHxaGyNclwegq7TnjcEIFQ8Czbxl6flLMEzVP8cIUnJPYutw3UaJrFa744ThM69KoUMW-BmlGSRz9/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ11" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ11" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUKYHty21H80fk1W1kqLE8EJqhNpjkEsI2O7ibiaUvo4OONjQzJCBcckwDkgi3q3shEeBVOPyd6yP_veejWPvpBNIFpHE3i0iLeEZvc4QgQq8A_SzUz2ipwizpGqVCEApV6D1mXyDCVl6x/?imgmax=800" width="182" height="242" /></a> </p> <p></p> <p align="justify">ช่องหน้าต่างห้องภายในครับ เป็นศิลปะแบบบาปวนยุคหลังลายละเอียดเบาๆบนหินหนักๆสมัยก่อนคงเป็นห้องที่สวยมาก สังเกตุไหมว่าชั้นนี้เป็นผู้หญิงแบบเต็มตัวไม่ว่าจะเป็นลายสลักและการวางรูปแบบ ผมเล่าเรื่องผู้หญิงให้ฟังก่อนจะขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้ไง คติทางตันตริกแทรกอยู่ในทุกอณูหินของปราสาทอย่างที่ผมบอกไว้แม้แต่ลายลูกไม้อ่อนๆบนหิน</p> <p align="justify">        <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_RFdrxVBJJopCQ3T7GnmUxJ5k21pAikyM2sGEMvW7nFJtijgHkGyh8W7b2eGBJ7WzDVk6wYkTK6JQqRyfh6Dth1ZrV3exonu46nvrM8ORRmRuut-tbTtuWSeFlC64m21ncD5vk9llTA4m/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ12" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ12" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1vih6aOM7kwFfbmrH2SBFEWkrvHVbLsFlQQBNsei_bYcfW8Cbtr-GgRhMUHd5OmJsDfugHBYPrkQ3kCd0VKL1Pt9CnnJP7OuJ2cU4InqUtRcXjlDQbpsWd468DZMA67IOFtGLe3H9x0mJ/?imgmax=800" width="240" height="180" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5vuQbzhpkS1ACB7KzcxNAXyAsd84p5v1e_T60frrb8b3yW9C8y6q7o__U8Bq-j7zgFeZ0Nf5bjBMhay1ENB2l4EWfjriM45hRbxF56ewbBkXS1XYW-5U88JFq7riLGcKCHwNjFQ6eYHD-/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ13" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ13" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjgPSIEg5dPqvD5yn7PP8ZzE142oDV_JXuRIenXrr3zdFuy_7d8LnEPMBm_G7y_mGWyRCK-NrvMqTFQ50nsKafkXk6AGcI4PD5aYn0KAGxyPUS6RFfMr_5AL9Pbasn6uoVdEwL_oKKHTNa7/?imgmax=800" width="240" height="180" /></a> </p> <p></p> <p>ชิ้นนี้วางกองอยู่สะดุดตาน่าจะเป็นทับหลังของห้องใดห้องหนึ่งที่พังไปแล้ว อีกด้านของห้องนางนาคครับ สวยงามไม่น้อยเลยแม้จะเหลือเพียงหินกำแพงไม่กี่ก้อน</p> <p>        <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPI1dG_RUvOujIXCPmwb5eUc2m1U4mtG_s99-FQYhgv63W6aAti8RAZuuIk0Ye35xZUHc9WwyWPuVj3IC5K8Pz3YJ_KdTCgWeu_RL-_Hx5ToUb9pbYVMnWbzwJWjksdbKE8ZjsslQxc6ma/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ14" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ14" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIefM2uBBDy3Lpvep0Zpj8HBHfsZIxMPP_IJilfZezUPOqku2M1zCXa4xIr9FjVZPPudALfFeJA4DvThTIzMCeOygzzbX95_TJMkuyyqg_TI18upUDRHw9UAdDMdfscFNthbYEd7PzEG1c/?imgmax=800" width="240" height="180" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQYmPOt0YbBwz5_O9AlNE9r_Z7Q3Txu0lz_TxPsyEg-cyQhVDa4qkutNPui6trby1Gs30ls_ljEnE4eaD03XF59kaTldgS7N3nqVzxlJLUiienVyb0FwwAHb3HfuhiivNl1aThsoFY2-we/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ15" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ15" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGlT5_g3Fe8YAZC6S2cguKVqZjDVNoVhVcYYqUOlGFHoSDP0JCBo2ESe4GfP1U_OW66MUpojakoVYFCeIgOVLzzkq5MJzL86FKkWEVOAy9ImEGZBhN4ToKTPhtHI-wTe2OGo8hL6LA-oE5/?imgmax=800" width="240" height="180" /></a> </p> <p></p> <p>จุดสุดท้ายครับที่ยังมีหลังคาคลุมอยู่ เป็นจุดที่พอทำให้จินตนาการได้ว่าสมัยนั้นในห้องสวยเพียงใด เป็นจุดสุดท้ายจริงๆที่ยังไม่พังลงมา</p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnuSravTv5aLRQPQ9ezIKAGJXMjHjmMuOwHCrWzKdGIwuyhpSopaTYyv0OnwiRfl6NZDIJ_nA_pOmWINMmxPnO1bpod-1TIt-MjEjMdNPElgYMFllcqaZFneEyOuwch9B3ayQGwvoAhY1_/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ16" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ16" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqEq9M9IyBpjVp6w8u139pvBS9UaNO3Q9tJZhWZvCFTbx7oiAH1Uv2zY6wJ9XpVQw2S-fib589M9cNB1d768axYKdOL1wFPU3AGKjU2Ljy5ZXIz8S2NtK99j5DD-VStyT5jbxQG95efyza/?imgmax=800" width="240" height="180" /></a></p> <p>มองย้อนกลับไปที่จุดยืนถ่ายรูป</p> <p>  <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhviXopjUXu3Vgz4F1kOd_UnL3knwKA51BRH4R7ZqxCvU9y0kUByMF3o_s5vE7k-GO99kAZBsmvDDRU8fPe_2aBMF2Z9kNauvOWgxkGLudjE3BFaPM6tM_4E5Nl3Prf0OApkj6vGFzykvYS/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ17" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ17" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9mt7OROHencVIHuSu7nG0sWXiQ1EXUVtPR5JWdXGI-bq50TFRQJRAHOIW3mejheEy5661gMp0kvgR474kXrDdEL0rjpZFy2Eue8r4W0kGFLCUG3x6pykYmOXJwv-Es_l0YtkLgrGY6nXc/?imgmax=800" width="194" height="148" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSdHnudADYze7ohQkd1yChYxdJQzRe5lXEqMCB8e9KOJp-ZQA102bFGkHXyLQbmlbytshWVf7CtlSZtyX0c0FxqfUFEWAsbQ-JYn7I0YM5GeDEUbet-raXsVBjYHdwVvNN4_lzP9aST8wN/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ18" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ18" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg98yzmyKfVnsn88Z2XJAJXxsKNQK-cMgK6ak5nPfiTv1N39J5_IfsOdbvFH-uLvbwG5jOpfCeraLRcQiUBKs755sI2ICCM3M_LFZc78vZeGfy1XyShOBp4oEEtLKZAhXIboaqU3aq3MqqH/?imgmax=800" width="155" height="204" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjygVwIdpoySSiAm64qtkGpoYCa7cVi1qVhfYuR1SN8Me4FjgSyqZmIClss47OH7ssKqB51jlYgBoyGn9hkORQqlC3H5KUfZLn7OOtFJNAvdhB5hT0BoUScM9lHvHbFadp-V3CYUsIcBvfq/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ19" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ19" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtGzb8fofrDyUYi-mXYz5-1J85NVayxs99BwOTQgSIRbQnPZoGDb3_InlPA0ECfgtA8L5Igb1H-N6IHCYWzVsb0EU8pWEUQ2pspChYEOJYwaLv5VpNYBQzyk3_lym-QW8hIJjinT4FkmxV/?imgmax=800" width="180" height="240" /></a> </p> <p></p> <p></p> <p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirIrD9NiK5YIfdMB1iG9xmIPXRntitnjp9xFwt3syLBHGEhc7dAM44I7qzwnGlLpU7qRS36JB52LQp-Q4ZGmIXLvXwkjJgcwnzH19Xfc1xPTO77kgJFWFokPIUhC-GDa-xF-SYsjDpUWVg/s1600-h/Image.jpg"><img style="border-right-width: 0px; display: inline; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" title="ปราสาทวิเมียนอากาศ20" border="0" alt="ปราสาทวิเมียนอากาศ20" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcGdXeBdF_tt8K7jp0VeDIeBWYX3cQ1bYJHzKcOKYy4tw2_vuoTI_ZGz3GtB3r1uRsAGZxqUbqePQP9tftADobcAa7xpzS5L1eqPj5Lcp4MG45nB0iop6pXzVzluk7R921-zyusAxZwTy_/?imgmax=800" width="604" height="468" /></a> </p> <p>ขอขอบคุณ: <a href="http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/question.asp?page=10&id=517">http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/question.asp?page=10&id=517</a></p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-88282923115067261352012-06-19T01:01:00.000+07:002012-06-23T19:03:59.303+07:001. ปราสาทที่เป็นผลงานของ องค์มณีนครทรรธนาคราช<p align="left">อ่าน: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/blog-post_8605.html"><font color="#ffff00">กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง</font></a></p> <p align="center"><font color="#80ff00" size="4"><strong>ปราสาทบายน</strong></font></p> <table style="width: 598px" border="0" cellspacing="0" cellpadding="2"><tbody> <tr> <td width="312" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjULpyJFziHaK9IB1NorziFqd-th9uicT-K13i-Mgw4gIMljDhJ5UmY22Nuer-OzKJlqlYtboml9Ox1GMLbGx3_A8U2yhcY7Q63COjSZ2KqhwkHVAyxRiFrs_zNv0AV2jjUtzq7ojons3Ao/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทบายน5" alt="ปราสาทบายน5" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbf64kJWuoHffcRpFs6Hm7FwclR_sg8xRFx6leHktQp48YFSeMH3qswCsdvb14Wzyac1CNiARQR1smeQIplQcGCTIJK7fzSgrPCCss1vvjpFxHztPFjS63pUqxqEFbWqfQAhWl2PJ2A0wn/?imgmax=800" width="266" height="187" /></a> </td> <td width="284" align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPdBRiLxBBCw-dKajjNeuBmhfcbHY7mcvYruAft86SD7JfpONHeB8WIsWgQKcGQk_KhZ-CrKEqsHQn6Kp3im1lZSYtAuRVEGp_h-mmmAr2AVS1hhkguSn_SDSShti-KRp2-eGD9C6TZSuw/s1600-h/Image.jpg"><img style="display: inline" title="ปราสาทบายน17" alt="ปราสาทบายน17" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCkgSqGJMbpmmD4pP0fNWlIaFnef1COwpzJ2iA6td6j-KUlBS78I7-aBedf11Rdl8TedKRBR92aVWabyUJzhyphenhyphend95yYwtI-aumZRGrIuR6PFpiGccByNER5Mvz3K2vn0b9eHTmQkhituGNB/?imgmax=800" width="266" height="186" /></a> </td> </tr> </tbody></table> <p></p> <p></p> <p>ดูแผนผังก่อนค่ะ ตรงใจกลางของเมืองพระนคร ( สีชมพู ) คือบายน</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0081/027/825/wMJFTf027825-02.jpg" /> <br />จากประตูทิศใต้ ( สีเขียวอ่อน ) ตรงเข้ามาจนชนกับบายนด้านทิศใต้ </p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0081/118/638/S5THm1118638-02.jpg" /> <br />เราเลี้ยวขวามาจอดทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นด้านหน้าของปราสาท</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0081/607/901/sBdWex607901-02.jpg" /> <br />คำบรรยาย...ก็บายนเป็นภูเขาที่กวนเกษียรสมุทร...โดยนาคพันภูเขาเป็นที่กวน ยักษ์มีทศกัณฑ์เป็นหัวเรียวหัวแรง และเทวดายุดนาคคนละข้าง กวนเกษียรสมุทร เพื่อให้เกิดน้ำอมฤต ให้เมืองเป็นเมืองที่ไม่ตาย</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0076/492/502/.IPNxs492502-02.jpg" /> <br />ใกล้อีกนิด</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0077/481/829/DTY7BL481829-02.jpg" /> <br />กำแพงทิศตะวันออก ฝั่งทิศเหนือของทางเข้า...อันตรายค่ะ</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0080/539/800/.BnWW6539800-02.jpg" /> <br />กำแพงทิศตะวันออก ด้านใต้ เป็นรูปเกี่ยวกับการเดินทัพ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/531/058/c1qKZv531058-02.jpg" /> <br />มีทหารจีนด้วย ดูจากเครา</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0079/785/615/zZxa85785615-02.jpg" /> <br />เสาจะสลักเป็นรูปนางฟ้าฟ้อนรำ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0083/868/133/4pwioq868133-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0081/645/060/iqY9cA645060-02.jpg" /> <br />กำแพงทางทิศใต้จะเป็นรูป เกี่ยวกับเรือ คนงมหาปลาไหมเนี่ย</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0082/264/055/VgLUPI264055-02.jpg" /> <br />อยู่ในเรือทำ? ในน้ำมีปลา จรเข้ ล่างสุดน่าจะเป็นตลาดไหมน่ะ</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0081/727/480/LgPH4f727480-02.jpg" /> <br />มุมนี้เห็นหน้าพระโพธสัตว์ค่อนข้างสมบูรณ์ค่ะ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0080/249/226/WCmic9249226-02.jpg" /> <br />ด้านใต้อยู่นะ เป็นภาพการรบกับพวกจาม</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0077/676/950/bjqFmw676950-02.jpg" /> <br />จากรบทางเรือก็รบในป่า ?</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0077/654/500/AvEiKP654500-02.jpg" /> <br />ก็เดินดูตามทางแบบนี้ค่ะ</p> <p><img src="http://photos2.hi5.com/0077/552/609/nct1rl552609-02.jpg" /> <br />ทิศใต้เต็มวิวค่ะ</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0077/275/043/P0VBiw275043-02.jpg" /> <br />ทิศตะวันตก ด้านทิศเหนือ มีเหมือนตราครุฑด้วย</p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0081/501/792/udWxgv501792-02.jpg" /> <br />ทิศเหนือ ด้านตะวันออก</p> <p><img src="http://photos4.hi5.com/0083/957/259/NuicMX957259-02.jpg" /> <br />ในช่องทางเดินก็มีภาพ</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0076/613/866/6KhvA6613866-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos1.hi5.com/0082/046/736/TeI78I046736-02.jpg" /></p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0077/300/870/o9O1Am300870-02.jpg" /> <br />มองลอดช่องประตูเข้าไปด้านใน</p> <p><img src="http://photos3.hi5.com/0076/465/234/B33Nou465234-02.jpg" /> <br />แล้วลอดเข้าไปข้างในกันนะคะ</p> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-64582727098465659992012-06-13T17:21:00.001+07:002012-06-17T14:17:32.505+07:00ตำแหน่งขององค์พญานาคราชที่สถิตและรักษาในกายพระนาง<img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhbuQqGZCp0NK1-24wqnxmDg_HwZrH-I2NE2zJ1Ie_iwk5Yc6ooj6MDsXVuJiwD0Db5Q0fOjCqgh8bpJFBp2GuGmpuqitcJZ_lltEoU-XTPJ5pal3TgiOrn7LaXfgXe5EnDygqtDzkk9te/s200/W9888898-0.jpg" width="116" height="98" /> <br /> <div style="text-align: center; clear: both" class="separator"></div> <br /> <table style="width: 604px" border="1" cellspacing="0" cellpadding="2"><tbody> <tr> <td width="294" align="center">พระนาม</td> <td width="308" align="center">ตำแหน่งในร่างกายที่สถิตย์และดูแลรักษา</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  1. องค์มณีนครทรรธนาคราช (สีชมพู) </td> <td valign="top" width="308">  - ถัน <br />  - สีข้างลำตัวบริเวณเอว</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  2. องค์อินทรนาคราช (สีเขียว) </td> <td valign="top" width="308">  - ท่อนแขนขวา <br />  - ใต้รักแร้ขวา <br />  - ข้อศอกขวา <br />  - ข้อมือขวา</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  3. องค์ฉัตรบำเพ็ญสุทัศน์นาคราช (สีม่วง) </td> <td valign="top" width="308">  - ท่อนแขนซ้าย <br />  - ใต้รักแร้ซ้าย <br />  - ข้อศอกซ้าย <br />  - ข้อมือซ้าย</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  4. องค์สุวรรณทนาคราช (สีขาว) </td> <td valign="top" width="308">  - สะบักไหล่ด้านหลังซ้าย - ขวา <br />  - แผ่นหลัง</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  5. องค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช (สีแดง) </td> <td valign="top" width="308">  - ศีรษะ <br />  - มือซ้าย <br />  - มือขวา</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  6. องค์เอนกอังกูรจันทนาคราช (สีน้ำเงิน) </td> <td valign="top" width="308">  - ช่องท้อง <br />  - ลำคอ</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  7. องค์จันทผ่องอำไพนาคราช (สีเหลือง) </td> <td valign="top" width="308">  - แผ่นทรวงอก</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  8. องค์จันทรคุปต์นาคราช (สีฟ้า) </td> <td valign="top" width="308">  - ใต้ขาพับขวา <br />  - ท่อนขาขวา</td> </tr> <tr> <td valign="top" width="294">  9. องค์มณีรัชตินาครา (สีส้ม) </td> <td valign="top" width="308">  - พระพักตร์ <br />  - ใต้ขาพับซ้าย <br />  - ท่อนขาซ้าย</td> </tr> </tbody></table> <div style="text-align: center; clear: both" class="separator"></div> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-30745493972962214632012-06-13T17:20:00.001+07:002012-06-28T12:56:06.170+07:00กลุ่มปราสาทในอาณาจักรของพระนางใครเป็นคนสร้าง<div style="text-align: center"> <div style="text-align: center; clear: both" class="separator"><a style="margin-left: 1em; margin-right: 1em" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDKwcSaxrnnq5biMWk6ZZzE5vn5qw_N54q9KQPBsVe6ij696IocFPryNiiW44JGUG6JRviisRXDI8SWLQffdL1uKeXmrVTO1lkygsE5b07b4fQssAbDeASc2ToATU5KETCKcQuN6usUcQh/s1600/mapDay2.JPG" imageanchor="1"><img style="border-right-width: 0px; border-top-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDKwcSaxrnnq5biMWk6ZZzE5vn5qw_N54q9KQPBsVe6ij696IocFPryNiiW44JGUG6JRviisRXDI8SWLQffdL1uKeXmrVTO1lkygsE5b07b4fQssAbDeASc2ToATU5KETCKcQuN6usUcQh/s640/mapDay2.JPG" width="622" height="640" /></a></div> <div style="text-align: center; clear: both" class="separator"></div> <br /> <p> </p> <table style="text-align: left; width: 604px" border="1" cellspacing="0" cellpadding="2" width="625"><tbody> <tr> <td style="text-align: center" width="315"><strong><font color="#80ff00">พระนามผู้สร้าง</font></strong></td> <td style="text-align: center" valign="top" width="308"> <br /><strong><font color="#80ff00">ชื่อปราสาท</font></strong> <br /></td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315"> <font color="#00ff40"> 1. องค์มณีนครทรรธนาคราช <br />(สีชมพู) </font>         </td> <td valign="top" width="308">  - <span style="text-align: left">ปราสาทบายน <br /><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/1.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/1.html</font></a></span></td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315">  <font color="#00ff40">2. องค์อินทรนาคราช <br />(สีเขียว)</font></td> <td valign="top" width="308">  - ปราสาทวิเมียนอากาศ (พิมานอากาศ) <br />ที่ประทับ พระนางโสมาสีวิกาเทวะนาคเทวี <br /><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/2.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/2.html</font></a><font color="#ffff00">  </font></td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315">  <font color="#00ff40">3. องค์ฉัตรบำเพ็ญสุทัศน์นาคราช <br />(สีม่วง)          </font></td> <td valign="top" width="308"><span style="text-align: center">  - ปราสาทพระขรรค์ <br /><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/3.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/3.html</font></a></span> </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315">  <font color="#00ff40">4. องค์สุวรรณทนาคราช <br />(สีขาว)</font></td> <td valign="top" width="308">  - ปราสาทนาคพัน (เนี๊ยกปอน) <br /><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/4.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/4.html</font></a> </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315"> <div style="text-align: left">  <font color="#00ff40">5. องค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช </font></div> <div style="text-align: left"><font color="#00ff40">(สีแดง)          </font></div> </td> <td valign="top" width="308"> <div style="text-align: left">  - ปราสาทบันทายสรี</div> <div style="text-align: left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทตาสม</span></div> <div style="text-align: left"> <div style="text-align: left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทตาแก้ว</span></div> <div style="text-align: left"> <div style="text-align: left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทแปรรูป</span></div> </div> <div style="text-align: left"><span style="text-align: center">  - </span><span style="text-align: center">ปราสาทธัมมานนท</span></div> </div> <div style="text-align: left">  - ปราสาทนครวัด</div> <div style="text-align: left">  - ปราสาทนครธม</div> <div style="text-align: left">  - ปราสาทต่างๆ ในกลุ่มปราสาทนครวัด</div> <div style="text-align: left">    นครธม</div> <div style="text-align: left"><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/5.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/5.html</font></a></div> </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315"> <div style="text-align: left">  <font color="#00ff40">6. องค์เอนกอังกูรจันทนาคราช </font></div> <div style="text-align: left"><font color="#00ff40">(สีน้ำเงิน)          </font></div> </td> <td valign="top" width="308"> <div style="text-align: left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทตาพรหม</span></div> <div style="text-align: left"><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/6.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/6.html</font></a></div> </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315"> <div style="text-align: left">  <font color="#00ff40">7. องค์จันทผ่องอำไพนาคราช </font></div> <div style="text-align: left"><font color="#00ff40">(สีเหลือง)          </font></div> </td> <td valign="top" width="308"> <div style="text-align: left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทแม่บุญ (เมบอน) ตะวันออก</span></div> <div style="text-align: left"><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/7.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/7.html</font></a></div> </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315"> <div style="text-align: left">  <font color="#00ff40">8. องค์จันทรคุปต์นาคราช </font></div> <div style="text-align: left"><font color="#00ff40">(สีฟ้า)          </font></div> </td> <td valign="top" width="308"> <div style="text-align: left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทบาปวน</span></div> <div style="text-align: left"><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/8.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/8.html</font></a></div> </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="315"> <div style="text-align: left">  <font color="#00ff40">9. องค์มณีรัชตินาคราช </font></div> <div style="text-align: left"><font color="#00ff40">(สีส้ม)          </font></div> </td> <td valign="top" width="308"> <div style="text-align: left" align="left">  - <span style="text-align: center">ปราสาทเจ้าสายเทวดา</span> <br /><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/9.html"><font color="#ffff00" size="1">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/06/9.html</font></a></div> </td> </tr> </tbody></table> <div style="text-align: center; clear: both" class="separator"></div> <div style="text-align: left"> </div> <img style="text-align: left; display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" alt="แผนที่นครวัด" src="http://www.casino-poipet.com/angkorwat/angkorwat-map.jpg" /></div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left">    1. นครวัด </div> </div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left">    2. ปราสาทกระวัน </div> </div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left">    3. สระสรง </div> </div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left">    4. บันเตียกระได </div> </div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left">    5. ปราสาทตาพรหม </div> </div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left">    6. ปราสาทแปรรูป</div> </div> <div style="text-align: center"> <div style="text-align: left"> <div style="text-align: left">    7. ปราสาทแม่บุญ(เมบอน)ฝั่งตะวันออก</div> <div style="text-align: left">    8. ปราสาทตาแก้ว</div> <div style="text-align: left">    9. ขุนเขาพนมบาเค็ง</div> <div style="text-align: left">  10. นครธม </div> <div style="text-align: left">  11. ปราสาทบายน</div> <div style="text-align: left">  12. ปราสาทบาปวน</div> <div style="text-align: left">  13. ปราสาทวิเมียนอากาศ</div> <div style="text-align: left">  14. ลานช้าง ลานพระเจ้าขี้เรื้อน</div> <div style="text-align: left">  15. ปราสาทพระขรรค์</div> <div style="text-align: left">  16. ปราสาทนาคพัน (เนี๊ยกปอน)</div> <div style="text-align: left">  17. ปราสาทตาสม</div> <div style="text-align: left">  18. ปราสาทบันทายศรี</div> <div style="text-align: left">  19. ปราสาทบันเตียสำแร</div> <div style="text-align: left">  20. ปราสาทเมบอน (ฝั่งตะวันตก)</div> <div style="text-align: left">  21. บารายตึกทะลา</div> <div style="text-align: left">  22. สนามบินเสียมเรียบ</div> </div> </div> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-10517336673479654762012-06-13T17:18:00.001+07:002012-06-14T17:28:03.096+07:00รวมบทอัญเชิญและสักการะองค์นาคราช<div style="text-align: center"><b><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif; font-size: large"><u><span lang="TH">พระนางโสมาสีวิกาเทวะนาคเทวี</span></u></span></b></div> <div style="text-align: center" class="MsoNormal" align="center"><b><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><u><span lang="TH"> <br /></span></u></span></b><b><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif">“<span lang="TH"> โอม  โสมา  สีวิกาเทวะ  นาคะเทวี </span>”<o:p></o:p></span></b></div> <div style="text-align: center" class="MsoNormal" align="center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b> <br /></b></span></div> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH">องค์มณีนครทรรธนาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">          </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" จันทมณี  สุริยะโชติ เอหิจิตตัง  ม่านฟ้าปะทัง  จุติ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์อินทรนาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">                        </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" อินทรราชา  นาคะพุทธา  พนมราชจุติ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์ฉัตรบำเพ็ญสุทัศน์นาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">  </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" สุทัศน์นาคราช  ชัยยะพุทธา  โอมมหาเตโช  จุติ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์สุวรรณทนาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">                  </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" สุวรรณมัชชะ  ปะมะทัง  สักกะระยานัง  เอหิพุทโธ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">     </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" อาทิตยะ  มะยะสะภา  สุยาธินัง  สุปะนัตตัง  เอหิ  จิตติ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์อเนกอังกูรจันทนาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">       </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" สิงหราชเดโช จุติมะยัง  เอหิจิตตัง  จุติ  จุติ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์จันทผ่องอำไพนาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">        </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" จุติปุระ  อำไพผ่องศรี  จันทนาคี  เอหิ  มะมะ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์จันทรคุปต์นาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">                </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" จันทมนตรา  ธาตุหลวงบูชา  จุติ  จุติ "</span></span></b></b></span></div> <br /> <div class="MsoNormal"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><u><span lang="TH"> <br />องค์มณีรัชตินาคราช</span></u></b><b><span lang="TH">                    </span></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large">" มะสุธิยะ  จะนะสะยา  มณีรัตนะ  จุติ "</span></span></b></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large"></span></span></b></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large"></span></span></b></b></span></div> <div style="text-align: center"><span style="font-family: arial, helvetica, sans-serif"><b><b><span lang="TH"><span style="font-size: large"></span></span></b></b></span></div> <div style="text-align: center">----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</div> <img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" src="https://encrypted-tbn1.google.com/images?q=tbn:ANd9GcQra3kWXdOaPR05jTLtT6wymmYqodc8dYUUgN6X-jjtbQyclt-Duw" width="103" height="66" /> พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-25571291980584435422012-06-11T21:38:00.002+07:002012-06-18T23:44:24.717+07:00ปราสาทหินพิมาย<div style="text-align: justify;">
<br />
<div style="text-align: center;">
<img src="data:image/jpeg;base64,/9j/4AAQSkZJRgABAQAAAQABAAD/2wBDAAkGBwgHBgkIBwgKCgkLDRYPDQwMDRsUFRAWIB0iIiAdHx8kKDQsJCYxJx8fLT0tMTU3Ojo6Iys/RD84QzQ5Ojf/2wBDAQoKCg0MDRoPDxo3JR8lNzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzc3Nzf/wAARCACNALgDASIAAhEBAxEB/8QAHAAAAQUBAQEAAAAAAAAAAAAABQIDBAYHAQAI/8QAPRAAAgEDAwMCBAQDBgQHAAAAAQIDAAQRBRIhBjFBE1EUImFxBzKBkRUjoUJSscHR8DNiY+EWJHJzgrLx/8QAGgEAAgMBAQAAAAAAAAAAAAAAAQIAAwUEBv/EACIRAAICAgMAAgMBAAAAAAAAAAABAhEDEgQhMRNBFCJRof/aAAwDAQACEQMRAD8AqF0hlkJRQF9hSVspjGWC/L7ZNWO06euUfe0fy5wFLc1KuZo7XCGFwRwc9q2UjLuinCBhnKkY+lOJHtIyKNzzCdm2x4B9hnNQ3g28gZqxIVyGQBinoo8jnx2xSkjB8VIjG0YA4ptRbGWXLZp2KPJ7UoLk9qKWNrb7czOS3hRRSANWVuWPykDjz5or8fY6VbkyPmYLuKKRkgd8AkZ7+KZmaz0+NndleXYTHEzYzjufsO5+3vVNeYKmp3t+ImkupDBb3gOUUAc4/skZ4P0U4rh5fJ+P9Y+nTgw7u34X2w1Kz1N3jMZjljALxsQTgjPcf4VDvII0lbYMAngVXumbiOS7uJWmF2qxholttmITnDF/YN8uORnvVlhMcqLJuDcYI9iOPvS8PlfI9JejcjDr2vCGY8D8tJ2YolMsQQemvzHvzmo7IQcEVpKJyWRwtKC4p3bXitHUFiMjyM13ANK2V3FSiWIKikFKeIrhWhqSyOUpO2pSxE10xYoUGyGUr1SGXAr1SiWWQQ+nlmY478DvVd10iW5UqFEYPPHJou7XCYWVeQOCDwaGXsJkQlgnAyeeQKrirHkyEk9um2JIcKTyVP8AnXL5U2ERxbVzwfemzaEcjnnxT8NpNOP5eTt7jPNWqIjYNEXNOpFxzVgstGeS1aVs7m4VQOSamw9I30gyIgBjI3HvQlOEfWSm/CrCPHipNrbSTSBUz9TjtRm50S4sU3XNuVz27Gqv1nq8tlp0lnYELdTxH8qZIQd8exP+RpcmWMcbnYYQlKWpVtVnmvGNxfIY7J5N8RZBk/IcIMj2IO33bOKMQyz6doFjpt5ZLP6kqBw8bnBJ3jse+OOQDgnvUXVmL3UFwxl2SPFGZJF3kS7Bu5BOAFCnHfg96tSaxpVw1s138NL6dz6qEXSkTqo27R7k5B+mMZPevM5ZuT2ZswioqkVvSrtJtQ1AaTbw2sskWJI2kLLCscgJwpGSPfPH270b0i9/ntNqCp8NhYopbRSyr4wUH5cEAH9c+9NaDNp9hrkV3bRXlvZ3IuYVMgWRzkjndnGRt7d/61O1GxMUXqi7S+tlJ2+ifRniYsuSYyCGXAOdp/TigpuMlJeojjaplo0ywt5ijShsEbj7GomoWyxXBCssgPIKjsPapHRd9BqMVzpln87QEIJGTAAA57ZAHBxzgjH2olqGhlLYTmUPITjYB3H0re43KjkptmVmwuDpFbW2dziNcmuelg4IowC6kQBDEPGOD+9cuI1YBZHUewHJH612bFAHaKk+nUkqQSpOR4r2zHirBbIuzBrojJ8GnyvNdGAKAUxsLtFIbuc04x5ppsmg0GxpxXqUw4r1CiBK7vIrhHDIwU8I2OaiRaTK9kt1LJtznAPtSUk3yDfgKKs2m3KTtEhxtU/l96SdwVoNpsDW+mXt1Cqwwqsbjlj7Cl2tj8JM4Y/OOCfFaFGFMWAvGMYFDH0tGDb4wMnjHOBXLHl23sixw+x3QbdDbI5QbvejaJtHAAFC7Mrbx7QNoA4FPS6jEiEs4GB2rhyKU5WjoxZIQXY/eQxPERIFxjnIr5+vooeqdfvGsplSye2eCGdRy6KdzMFPYZyPseO9aP8AiH1VbWfR1+puXiuriNobbYCSXI7fTjNY/pd+2l6cb0pI3o6bIA0ZKZaeQhOc8/l/p5qjK5xWhfi1m90HemNKhudS0aeV5P4i9q12wkY7GyCF4B7jBAxz96MdSdFaW2p6hGlrbJJdWnq26rgMJC/gHHnuPY1RbbV7UdTyfxNzDbRWi2sb2iD5CNuGwcg+cnB/WrNYakkmo3EltqGWjt0W3kMRaPmQ7lY9l7jA47nvXLLbw6VRzpfp1dJ6iswm9g9i00kRY7UfGDke4II4570eeW31e8knslurUK6xvFMhjkhcqTxngggHnjNDbC4fb0/LHd6fK/w5jX/pjGDHjJzyRjGDx5oxHZXtn1JdteK8t1emPZcGXIUKSBtyMgfzMENjjb5pW7fYWiDpQj0u/nb4d7K/nK+i6nBOWXhsYByCSMjyfetW0wwDIklDOQMqw5X6VmOh6ZG93fWS30k0chdY4CoD25VgQAxOD3Yd8YUcYJozALmBAJQEZWIBQnbjPA5HfGOPFdnCi8snjs5eT+qU6suep6VDPJ64ADAdsgA0AnSwGRMWWYA48gfSoj31wybWkYj6morNuYE1s4uPOKqUjNyZIydpHn9MTEgHb4z5rk0YC7lGPNdPJGTxnmvStn5VztHbNdaX0VWRNh7mkMKkMuaaZaaiDJFJIp0rxSStKEZavUsrXqAbERrzROwmSCRXPj2qHEoDDcMjNGg9m6KSiBk7DPejk6XliRdhuy1u3Ef8xsH2rs2qMzgwSAhuwoTNPbTW20Qojj8pXj/YqNBO0Lg5DYriXHi23RZ8ldBi4uLhVjlZiufbmoN3eJK7b1znyDjNNXF9LchUcgKOwAxQrV7xLCwmnaSNHCkReocAufyj98U8cahHaYFK2kigfijdPPqdvYxbisMBkOBkksfH6Dn71URPf6oscLTbIjGluIl7bEyVB+xJ5PvV/wD/AAtL1Fp6yxPKLq1kCXU00u5fXYbnIPgE7Pl4A3UN0vpK7s7x7a+jxcRXIDKhyO3OPbisPNm2m5GzihpFIqelWZS4tAFicXCsjK8bSAHPsCDngcg8VYLvSljsUUQJH6md26ZxuIPH5kySOeG7Z4NW7SelYX1LRIZ8IZZmcsvOFKOR/lWiydNWwvdJjcxyegkm4yru9UfLwc1zObk+i2jBf4HZrYxztC+6Sb0tolTc3f8AvYCnjjOQatOhyfDyJMj38s0RAiN0gCR5IARh82c5P5e4xz2AuPVOhxSdJ2SwZMj6jt9QAHYskpViB9BzQSLTDYsbG02vdLdZWaLA2xoxXkjhD8uB9zQu0MRrjWRPefE6jYSRvECBdW38p0JbIdlOOFJ5GTx3BzR23vWcWwu5g73DN8OyZ9OVMZDKfchS3PvS9ZtY7ZICEiEF2hkdJ97lncKAvnexxjOeMDjFQdB0hLaGJI7u6HaZ7eV96gZOAAy/Lgg8r3q3it/NGvSjPXxvYLEVzFSTGMCklBXqlIwyPiuEU6VxSSKZMg0RTZFPEUhlpkwjLLSCPpT5HFJK0rIRyDXqeKH2r1AIswBB9a6qmnVUljuOPvTmweOafb+iNfwaUH3NK2mlhaWF9+B7+1I5ULQJ1fW7bR5rWCZJJZ7otsRBztUZLVXOuNVtLu2tLWKUkGXLn8pjzhQQfcZP7YJHeolzqEuqdQ2eo23xQWNniU2w3FcE7duBn5lJyfbNcOmWPUEN3PqVxNBIZGAlCkEAf3hjnkkHPbvWDyec5NxXjNfBxFFKT9DGm9Sro1pe29tcQRPJcDdCxVU7KcjAI8nzjx2xRubWrbU0ub2G0jFzHA5klXBEhyoDZBPYHvVftbfpltRtVNwJoInQSu+478KA3DDIGckc9uakTwWtmutSWQEay2SkYYEfNICwBH2HH1rLk13R3Fg06TPVmmxt2iKrx/7Y/wBatmtX0Vnrlo9w6xwxWc8rs39kAoM1QdHuWl6rtnRGGLl8ofADIvej/wCI0qQ3U0rhdkeky7ix4GXXn+lL9MP2ZRrnXGotfWEDFVtLAgwxp2cn+2fc88Crj0rr8Et3dT3EwuBLeST+l8GVdWX5sJyeSPH/ACnk81lk0tld3cbTRyyenEvyxDAJB7MSRx9RV+6VvLDVOuoJbq3gsrdFdvTR/TVTIgBznv8AlAx2q5x6QCxWcE/Vd0mpta/A6aGZbdGUy4dSd7ZBG3JH9O+O0u9eAXYn0tWl+EIjf02JWWNyGOF8j5hhh5BHNN63JMptundKmO+6u5F9b1QEEZBdhxnuBj/5fpU+Ky1KLTNsNopcOpaDcGLqSVB3cFSCAcZOMceKSM9JbIEoqSaZKZRzjn60hlqu2erX9o2pi6gQW1pKqoskpJjztBQsR3BbPbzj2NTX6ks4YhLfQ3Nsh/tGIup+uVzxW/i5uOS7Zj5OLkg+laCRXmvLA8jYRSx9gKqN519bb1TTrOecsQA7oUGTyOD9K0rp/VrCS1l9JDHNCwWVZUKtkjIxkcjB4I4/annzIrqHbJHjS9n0gRNpd3FH6kkDKnuagsuO4qzahqrTxFEAUEc0BkGecCr8GTJJfuiuagn+pFK1wrUhI3lYLGpZj2A5NS20i92k/Dtgd+R/rVsssF6xVFshWpgjcPcRmRR/ZBxk16kzxSRNtkRkb2Ir1K4Kfd/6S2hCrTgHtSchVyxAA7knFV/WetNL0w+nEfjZv7sLDav3b3+2TRyZYY1cmCMHLpFnQc0L6uma26bvWjfZJKohRgcHLnbx9cE1nt713q11PuhnFmgHEcQBz9SW/wAqHX3VV/qMKW1/O90qtujGFGGwRknAzwTWZk58ZRaijqxcaWybDfTN4kGoWUf8RtrWOGCRvniZ43kUjG7BGWPOD4GRT6i51mMu0iCe/lMeyGJoxu742lj2yP8AYrtu1o/SlpDIZ0nhiGG3KUJQbcDb8wJLD+uaJ6L0raSwpqNzbzXAiwS0bkMWZgiqA3B55z3/AKVjN2zW8BV7fX9uEW4FtLGuRtkt1bsSM5Dew9qcj1N5PStzZW8fxE0VuGgml53MBnawAPfnnii34gag/Tl9psKacZZrxJZZhdMu/dkYIZcjHJ4INOXemraQaVPdRspk1WF8q2VAVtxGPfjvUl16SJ3pxnuOrrcuSC91cH27y5/yp38ab8i4nskJEstpEoGe49RmP/1H70N6Ovk/jVhdhNyeoZSBzkOXPGcdsUP/ABdvorzrKdIjkJawx8gAp3Y+fZhVavahjNbZwLhndmVkDPEduRvHK58fvRHp6W6j1uG8t7iNbiP51coGVSwIwQcAd/0qPHaGaBQS7bklZEx2ZSOf1on0zokmq6jYQxL8kgyzFsfOcqvP3xx9K7X4VGo9GXUcWgWN9dKERJGi9RlJDn5lyxLee+R7CrVPpwQ3YeKNrd0AzAHH8s5wwAJzx3PvjiqX0/EsHSs0HUQuDZpdtBKu0EGQHIONuQRjvkipdrH0pJ/Lt+pLuw+YMkbXLBFweOOP9iuKUi1ITrEuo6b0rqEcNvJexPAsmLiE75ZFfBfAP5QEUnIGcmhuvawlrrTRWuIY5BGeDvCucMR5457YPf8ASu3t3Np8OptLd3eo6d6cttDfI4k2B1GQMjB7g4z4NQ9Yk07VZBqAsJ4re7ibvEVJcIAclW5Ge/g5806fQPAb0a9pN1Vcxak00hSRJopEiaXGHx+XG7BDqM44APtVivNQudTvWvNEl9JtPLCSSMMBOyj8jAgZHYYIyMHGOKpmsSWlh1ZcXVmIp7WW3Itwyt8rbFGPB3Ag/vVq6WhnvrU6XYTRJKLX1L15CcysXYgfMDghWzuwMZ74GKsbcakhaTVMtmga9aa/bCW13B1jVp0IOInOfkz2J48eCPcUatRCkoedSyjxisktdV1PpGeS2tXhliFyHuLdj/xcIAcHHBxj75Fato80Wt6Zb6hpu6SGZQTnujeVI9x2rXwcmOSGsn2ZefjuErj4GYdSs4s7IRH/AOlADUefWHDkwM4HsQKQ2kXXcmMDzlu1RrjT541LZRlHlST/AJVbCGG/bK25obmle8Ba6n+UH8gXJNertrawyIxuGZfYDj9a9Vjmo9KwatmM9W9YTanG2n24jitWxvy2TJ57kDj6VUCQxLF3H7YqfaWk17cenBZyTDhWMcbMEJ7FiO1NXVrd280nxMESybwpVCgGcdhjjsPBrGlKWR7SZoxgo9JCN8TxkhHzsUDa3kDknzz7VItkjkJkVQu0fKFOdrdvNFNB0WCVd+ryxPFKI2iTeyj5u4LAcEDvTy6C+mXE9rBMlw5fYjx8rIB2IPnORVb/AIWqP2X+LS3Xom1hhjmkuF0qAsI+STJKWJxn/lq06dpIj0yztBFdRCS7g9QSYUsF+c8gnyM0uIWtn8SZWkSO2W0tyEGcenHux3/6goRf9SQ3uuW/wGqgejI8gjldAEYLtC4LA7sFmI8DvVGz2LCu/i7FJc/iHpNvFHI0cdoDu5IyzNxn7AUU1fXbCPV7K0uGtIxYrJcl5nwc4OBwD75z9aNNqsUyNcXMnrZw25dhjcY7jDZ/rWa3+ralDbaq6xQR3N1P6MICxo0kC5z3ySuOCftRvdk8JPSOsJCd8d9BF/M5hWC5wqAcfMmAR3/s/wClQuuL9Ly6nvkvrJ0lm2YjkdmJVACSWQfbHOMVbhPoj6O93ax2tlqBVZIrpL4IY8Afmwe3uvY1DWSTVOnvV1CW3neVpJGAZCFBdtrA9gcBRnzjmh0nZLM60gr/AOVZhv8AlnAAPcnGKI9JQahZ6vo8yStGjXsaSxlsciTt27cmudO2dvdalb2k6fzYZd1yXkQBfm5xjOSDx2FGLGxW216C1dVZotQjlVi4bKtICvI/3xV7l9CGkdRwhek+r1VfmjvGlGfBO08HxVA6AhW864htb5jPbmeZPSkYsowrEf4CtI6hAfROtY/HLff+Xn/Ks4/D1XXruzVSBi7lye/Gxz/gKqaVjoPdTabGvRs1rt2xQ6w6LgfkBTaPt/3pFx09bv0rpF8k4tHWzRgWZtjOWAZ8DI3YPgA1apbOO90/qG2ugGRL8SjdztG7v9OKCXtrcSaBoNrFGTHA88Eg99rMNp8n8vb9aDRPsyrqSzmfqWKCWbc25B6iyBxywyQfpx39q0LpGTUdLhmjmitfWScwepdXHosyKirlGwSeVyRjHzfpTH4iaNHZavYXMcYUyxyByqBdzDbgn2OKnda28UsOlTtEGih1OIyBuQ6SbyQfpwn71G20FKmV7qkT39894mn+mwuTHMiyFwSVwGUgcglSM88kipv4ftf2fUUFu7j4WIyEQSAxiFyPzgMBknt5o+tgtp60dtHthtDIyoq/KPRn3oAvttcjtXPxW0mO70e61Fo4w8DwSGQkkkHK8H9Af0ownTsWcdotFn1nqGx0WNW1W6iti4ZlVvzyYxnAHJ71l/UP4marfS+hozR2EJ4BkjV5W+vkD7AH71Q2udQ1K7hiu7yV/TBjWSZywReTwT4pvZJp3o30F3BO0EykADcFYHIBHkcc8YrslllLpdHLDDXoZuuqeqbWRHk1e657NtUD9itepOn6s+q6Pq9lqeZ5bmMNbtsUejIh3AjjjIypxXqRSk/WW6IIRy3WhtY2+mSPG08YkuVQjPzthAT4OAf3p/WEtL2/jtEiWSRQHkkeUKGVRuIOeCSOM57UDk6f6giQy3FjMsajc7tIpwB5/NRvRNOa7ubDTPhoHkmljjaRxzFGQHPnHAJH6+a57X0y5NUXzT/w0ij0iLULq6aF47YTMFkf5SF3e9VzpqOW7v4rqeGRBkPtZCSuGJ7d+Qvkjk1r/UE8R6b1KG2liLm1eMAnIGRjke3NYppcTalbSGRbeN4pmAVrbG7HkHP24NTegUWjqPqK502wm1CQz+hdT+o0ZgHdsBQee4AUc1R9LutOsYrhr20NxLPO0/ygMRknAHOR3P0NP63F60M1n/C3uolYNHJDiLcAMn5d2eDnxzxUP4JNMtBPLpwV0i3sFlHIwBg4X3xS9UGyRrd1otzY3VnYWvoP6Ql9bsAueQBnyBjFB9NtdMn+FuicC3Ija3ZAUkOSck7skE4GMVW5pQZXJUBWOdgb5QPYfbxRvpyxhuonlkgDfzNquxUKMDPB5OatcdY+g9LHfSWMUMtovT4M0wK/yolAQkdwRjH6US1Gys7jQLj4exmt827MrpGQRt5OcHxjkeaTcTRyTae8Wmrv2zhzFKAZF24G7PgZGKXdXQt+mbxbezWNUiKqqyD5Nw5IXHvzx/Wqr8IysdET2H8XMNxYS3d1cKUhjO3Oe5wCe5APerVYaPbT65pt5pbSRw3c4MokhG22KlQCRvxye32Bql2mu3OkpPdWmnRwRz7Ix6kQZQwByccHJzn2H1olpuuW81rPfmxsIdRtnMysLBdrrjPfwcj+tWSh3ZEzZ2aG4tNftp7+3D3jvEjuyoH/AJYUYO4579/pWY2Gma1out2d5FBuJufVDRyK2UyQfPkZoHqHWglhij0/RbGxIJlkPoJITIcYdSVADY84NFbXX9WWG3NuiyW1xEGZBBEhye/gDP8ASq3FxGTRfpLtb201D1ZpbVtRiDSRx4JjlEhBHg4xtbHfHvQv+LXllo/wF7ZPLi7luFvEmXKl3PGFJIzuPI8A0vpa4N9Zyi6Mct4rscCEMwTGASEUjHfnPPbxTXUUc81pKthaSLJF8pkhIQFR33Bh9R9uaCkyOivdWX0mpGK4kkDG3VQMO7KcZyTxwSDU0dWabqGjC1vEkiBgVfVjVpArxhNrAYBIyhz9DQSWx1K5gLK7bTjcUd3O3z2AHiq2LIRRzQvNJ8Wk5ZApBDRlCQw88FcfqKeKUumB9GpQdRslu0ls3ywRyLz8rHczeDgkFWHbkFB9al3XV8F3pUNlrGksUuYkQGV8RXCK2AxPgHBP7Cst6dsfSWQXcEjqj7441k4LgjkgHgY4zj2qxSQy3lqiXEV1dWqj5LcBx6bNyxxjB554oXGMvSWVaa2nm1iaOysfVg3yemq4KmMFiD3x+X9aY1mxtLOylZoZI5pdrwKANoTCc5+uW49x96M6do+s2L+tFp8xniJaOQrlX4xgrnk8n/8AaDX2i6/Mcy2F5IASA5Tlue5/71bCcX3ZX1YFW4khLKpxng/SvU7Lo+qRk79Ou1+8Lf6V6nuIbNnuJVntpYlyxaNhtAAJOPHNQOgtPa216eVVmVI7OIR+suxwWzwxB+bAHf61Cnt/jwYzLLE2DteORlwQM9gcGi/4Xt6/TbXMuXmuZ29R2Yk4HygfsKzsT1g2LidlzuroNot/CVLO1rKq5G4MSpxkeeazyyguwu02ZffyX+HHc8k8mr1MVFuU2fNKNhOewPHAobeWaWhRVkkbdycn60kszj9Dzk4lSudG1JrlHjtpFZWDhljXuM8fm+tIk0XWj6jywyyJgl0KqS4PgAvzVrU7RuOT4HNSYXkA3xuUOPHek/Jkvor+VmY3OmX2kaDNNcesFlOY5pLVwkQxwDwdvmi+lrdx6RFF6t6ZxgsVVymO/GF74xV9EkiRmQTSZJ5+bvSRcSqRhzx257U0uW5KqIslFLSLUX1cQs102bXKRiKTaTuB5bB8Z44/Woep6XqY02do0vIn4UtHE5yM98DBJ+wrQ/WkLqpdiu7GM8Usu5+Yscjzmk/KaadE+VmQ3OjanL0+Vu5bmVxciQZjncKm0j8pGQcn27U90fpsUr6jJMLGWG2tmaQejLvA58MuPBrXV3k/8R8jzurrMy87jn380/5zpqiLIYbLaWMllb3sdzZorO8R3rL6ee4AOw4OCODVx6Raxn0eOO4ls2mibCLbRh8D68ZzV+3sylWwQe+QDmm1iiiTbHEiAncQigZPvRlzFKNUFZKZR7221Wxuk1T0o5oVJDwtAXeRSeeBg5GDjmjttf2V1bR4sLm2DgHa9nGrYJ/LySaNEqqcKMgdz3prJ25JJ84zVf5PXgflaBUGl6/ZXIaKCPYAVLyv8xBOckAYz/Sitj/EVZvjRbbQo2iFSCPfJzz+grmQvKqAa5LI6A4Paq5ZXLpgc7H5ZwhPJHsQDUWS4Vjg7m+mKZe+mBxwajzXsgcqQpx5IpUitskG5UggMoxUeS4Re0mP8KizXO4ljEpOc0yJN4J2gfbimFHpbsnhXyT25wK9UKVioOCf3NepkiH/2Q==" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
อ่าน: พระนามองค์นาคราช และรายละเอียดเฉพาะองค์ ได้ที่ <br />
<div style="font-weight: bold;">
<a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_21.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_21.html</a></div>
<br />
<b>อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย</b></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
ตั้งอยู่ในอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมาประมาณ ๖๐ เมตร เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ชื่อ พิมาย นั้น น่าจะเป็นคำเดียวกันกับชื่อ วิมาย ที่ปรากฏอยู่ในจารึกภาษาเขมรบนแผ่นหินกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาทพิมาย</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
คำว่า พิมาย นั้น ปรากฏเป็นชื่อเมืองในศิลาจารึกพบในประเทศกัมพูชาหลายแห่ง แม้รูปคำจะไม่ตรงกันทีเดียวนัก แต่เป็นที่เชื่อกันว่า น่าจะหมายถึงเมืองพิมายอันเป็นที่ตั้งของปราสาทพิมาย โดยเรียก เมือง วิมาย หรือวิมายะปุระ (จารึกปราสาทพระขรรค์ พุทธศตวรรษที่ ๑๘) โดยเฉพาะข้อความในจารึกปราสาทพระขรรค์ที่กล่าวว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โปรดให้สร้างที่พักคนเดินทาง จากราชธานีมาเมืองพิมาย รวม ๑๗ แห่ง แสดงถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างเมืองพิมายกับเมืองพระนครหลวงของอาณาจักรเขมร และแสดงว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญไม่น้อย</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ปราสาทหินพิมาย สร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นหลักฐานการพัฒนาการของสังคมมนุษย์ ในด้านการก่อสร้าง ศิลปะ ความเชื่อ และศาสนาของชาวอีสานโบราณที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ ศาสนสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล ดินแดนอุดมสมบูรณ์ และมีอดีตอันรุ่งเรืองของชาวอีสานตอนล่าง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ศูนย์กลางสำคัญในภาคอีสานของไทย</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๙ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเป็นโบราณสถาน โบราณสถานกลุ่มนี้กระจัดกระจายกันอยู่ทั้งในมืองและนอกเมืองพิมายในสภาพปรักหักพัง ทรุดโทรมไปตามความยาวนานของกาลเวลา กรมศิลปากรได้เข้าไปดูแลรักษา ขุดแต่ง บูรณะ และค้ำยันบางส่วนของตัวปราสาทเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ และได้ดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีกในปีพุทธศักราช ๒๔๙๗ ต่อมารัฐบาลไทย โดยความช่วยเหลือของรัฐบาลฝรั่งเศส ได้ร่วมกันดำเนินการซ่อมแซมปรับปรุงปราสาทหินแห่งนี้ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ – ๒๕๑๒ ซึ่งมีหม่อมเจ้ายาใจ จิตรพงษ์ และนาย Bernard Philipe Groslier เป็นผู้อำนวยการร่วม งานในช่วงนี้ได้บูรณะปราสาทประธานแล้วเสร็จ ต่อมา กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะ และปรับปรุงกลุ่มโบราณสถานที่สำคัญในรูปโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ – ๒๕๓๒ ซึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ พระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>โบราณสถานที่สำคัญ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<b>ประตูเมือง</b> <br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDycPooJ4MGX_wxHb5x4n8qOCFf5dJrSPb6wNkbcKPXLmhCFKmGTO02IdMTzXfhRlVWgJJftd1a61VPCdBlku6f71NfbB4GJNUJSS-lXCgTjOO7VhC_rANcccjKb_qHPuLUcjFrpIvHD9o/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDycPooJ4MGX_wxHb5x4n8qOCFf5dJrSPb6wNkbcKPXLmhCFKmGTO02IdMTzXfhRlVWgJJftd1a61VPCdBlku6f71NfbB4GJNUJSS-lXCgTjOO7VhC_rANcccjKb_qHPuLUcjFrpIvHD9o/s200/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" width="147" /></a> บรรดาประตูเมืองทั้งสี่ทิศนั้น ประตูชัยด้านทิศใต้ นับเป็นประตูเมืองที่สำคัญที่สุด เพราะรับกับถนนโบราณที่ตัดผ่านมาจากเมืองพระนครเป็นสำคัญ ประตูเมืองทุกทิศมีแบบแผนการก่อสร้างที่เหมือนกัน คือมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีทางผ่านตลอดกลางประตู กำแพงสูงประมาณ ๓ เมตร ที่สันกำแพงจะมีร่องยาวสำหรับเสียบบราลีตลอดแนวกำแพง ถัดจากกำแพงศิลาแลง จะเป็นคันดินยาวตลอด ปัจจุบันกำแพงนี้ยังปรากฎร่องรอยให้เห็นเพียงบางส่วนทางทิศใต้ ซึ่งเป็นแนวเดียวกับประตูชัยเท่านั้น</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<br />
<br /></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<b>สะพานนาค</b></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjut0m7OC221hs43EMzMXT4LMjsslTNqxq6AYZ9tbBWvaghnn6uFiBqXpbtRBA1ghbArjIwbiqGxUcL_r8MYOfaIyh7xhZCu4HHfAsBUT4B-pFfVTqU8DPSFe8u_2AeUs0FeFplT2lY64DS/s1600/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjut0m7OC221hs43EMzMXT4LMjsslTNqxq6AYZ9tbBWvaghnn6uFiBqXpbtRBA1ghbArjIwbiqGxUcL_r8MYOfaIyh7xhZCu4HHfAsBUT4B-pFfVTqU8DPSFe8u_2AeUs0FeFplT2lY64DS/s200/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584.jpg" width="200" /></a> ตั้งอยู่หน้าซุ้มประตูด้านทิศใต้ ที่เชิงบันไดทางขึ้นสะพานนาคตั้งรูปสิงห์ มีขนคอสลักเป็นเสมือนเกราะบนหน้าอก คอยพิทักษ์รักษาศาสนสถานอยู่ ส่วนนาคราวบันไดนั้นเป็นนาค ๗ เศียร เศียรนาคมีกรอบรัศมีประกอบและเป็นรอยหยักเล็กน้อยประดับด้วยลวดลายเป็นเส้นขนานตามทางยาวของรอยหยัก สะพานนาคนี้เป็นเสมือนสะพานทอดเข้าสู่เขาพระสุเมรุอันเป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ลักษณะของสิงห์และนาคนี้คงสลักขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ทำให้ทราบว่า แต่เดิมคงเป็นพลับพลาโปร่งมีเสาขนาดใหญ่เรียงรายกันตลอด เพื่อรองรับส่วนของหลังคาเครื่องไม้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<b>ประตูซุ้ม</b></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5wvvrUz2ZdMDA6W_AZJcHy2kh_2NMsQ2fBKy9veTUjF0SiFcIe_RJ8IJZHR39QP5k_fY00N8fNdQCSogMSX3oPFYA6vCRVWPXwYdKHRTZYWxmJormeyDjed4JivcdwYMQwQXx85sq81Cl/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B8%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5wvvrUz2ZdMDA6W_AZJcHy2kh_2NMsQ2fBKy9veTUjF0SiFcIe_RJ8IJZHR39QP5k_fY00N8fNdQCSogMSX3oPFYA6vCRVWPXwYdKHRTZYWxmJormeyDjed4JivcdwYMQwQXx85sq81Cl/s200/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B8%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A1.jpg" width="200" /></a> ต่อจากสะพานนาคราชเป็นประตูซุ้ม ก่อแบ่งออกเป็น ๓ คูหา คูหาแรกกว้างราว ๖ เมตร ยาวราว ๔ เมตร มีเสารายสลักด้วยศิลาคู่หนึ่ง ด้านข้างมีช่องลมข้างละ ๒ ช่อง ยังมีลูกกรงศิลาเหลืออยู่ คูหากลางกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๓ เมตร มีเสารายอย่างคูหาแรกข้างละ ๖ ต้น คูหาสุดท้ายที่จะออกไปเป็นลานใหญ่ ทำลักษณะอย่างเดียวกับคูหากลาง ช่องประตูแยกออกเป็นคูหา ทางทิศตะวันตก มีทับหลังศิลาชิ้นหนึ่ง สลักเป็นรูปขบวนแห่พระพุทธรูปนาคปรกที่ประดิษฐานอยู่เหนือคานหาม</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<b>พลับพลา</b></div>
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH7k8Fhd_Iy0scNg8FXgQ2qdbN_-OkiAbRDDj06LfNk8KthkIqBXa7kQXJ2cA1fqhc-gaLbmyubNkT6WezxziTeFeMx-_-6uiGJORbeWl8uxnqGjH9yHksLUHRDF64F-6K8Yi6QEQArY1K/s1600/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH7k8Fhd_Iy0scNg8FXgQ2qdbN_-OkiAbRDDj06LfNk8KthkIqBXa7kQXJ2cA1fqhc-gaLbmyubNkT6WezxziTeFeMx-_-6uiGJORbeWl8uxnqGjH9yHksLUHRDF64F-6K8Yi6QEQArY1K/s200/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2.jpg" width="200" /></a></div>
ถัดจากประตูซุ้มด้านใต้เข้าไปเป็นลานชั้นนอก ขนาดกว้างใหญ่ มีทางเดินเชื่อมระหว่างซุ้มประตูทิศใต้กับระเบียงคดที่ล้อมรอบปราสาทประธาน ทางเดินนี้ยกระดับสูงจากพื้นประมาณ ๑ เมตร เชื่อมต่อกับพลับพลาที่สร้างเป็นรูปกากบาทและมีทางเดินโดยรอบ ทำให้เกิดช่องว่างภายในรูปสี่เหลี่ยมอยู่ ๔ ช่อง ระหว่างทางเดินมีบันไดลงสู่พื้นทุกทิศ<br />
<br />
<br /></div>
<br />
<b>บรรณาลัย</b> <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMR1_4Zyei8lr_Q_J3vyPQcAemrxNCJxoOaPuHu3MCMbzXhW97sUr9QpYVeXP3nBVMuYR35VsMW0-FZ2QtYm5uMMfTv9lvCX9Kujp4OLDdsGpoCyM2QaKVW7OJ2RpFJea6gYoJcR6oVZ_m/s1600/%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A2.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="130" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMR1_4Zyei8lr_Q_J3vyPQcAemrxNCJxoOaPuHu3MCMbzXhW97sUr9QpYVeXP3nBVMuYR35VsMW0-FZ2QtYm5uMMfTv9lvCX9Kujp4OLDdsGpoCyM2QaKVW7OJ2RpFJea6gYoJcR6oVZ_m/s200/%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2593%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A2.jpg" width="200" /></a> บริเวณใกล้ซุ้มประตูด้านทิศตะวันตก มีซากอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีซากอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง ก่อด้วยหินทรายสีแดงอยู่สองข้าง มีประตูทางทิศใต้ และทิศเหนือด้านละ ๓ ประตู บรรณาลัยด้านทิศใต้ยังคงมีสภาพดีอยู่มาก ผนังอาคารก่อด้วยศิลาแลง เป็นผนังทึบตลอด ส่วนบนเจาะรูรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับใส่หลังคาเครื่องไม้อยู่เป็นระยะ ๆ ภายในอาคารใช้ศิลาทรายสีแดงก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๕ x ๑๕ เมตร มีหน้าต่างอยู่โดยรอบ ไม่มีประตูทางเข้าสู่ภายใน เดิมคงเป็นบรรณาลัยหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องทั้งหลัง</div>
<br />
<b>ปรางค์พรหมทัต</b> <br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3VDsnlEIsFIRS1jEp9fawir_WbZNlWpnQT2heUy0RCHSL5DeUAPu32WHoSNeTBtO6jwZs1QQjrd793tiui2sPWA0Voy1xAVpq5pE-0kx2Y6jOQHgdHyphQQgbPp_DpVgPVXCmR9VhkLLU/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3VDsnlEIsFIRS1jEp9fawir_WbZNlWpnQT2heUy0RCHSL5DeUAPu32WHoSNeTBtO6jwZs1QQjrd793tiui2sPWA0Voy1xAVpq5pE-0kx2Y6jOQHgdHyphQQgbPp_DpVgPVXCmR9VhkLLU/s200/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595.jpg" width="149" /></a> เชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ค้นพบประติมากรรมศิลา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ประนมอยู่เหนือพระอุระ (ปัจจุบันได้หักหายไปแล้ว) ชาวบ้านเรียกพระรูปนี้ว่า “ท้าวพรหมทัต” และยังได้ค้นพบรูปสตรีรูปหนึ่ง นั่งคุกพระชานุ ปราศจากเศียรและกรทั้งสองข้างที่ชาวบ้านเรียกว่า “นางอรพินท์” ผู้เป็นมเหสีของท้าวพรหมทัต และรูปสตรีนี้คงหมายถึง พระนางชัยราชเทวี มเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗</div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<b>ปรางค์หินแดงและหอพราหมณ์</b> <br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdezzrM_r0qjGMvNC53VmF0u6RAWWPN8B1bnsJI80qPIo3oHDVjRP6d99qdkWGPHd57vQVQ_mTfWSZY4dcgQk-mG3sSzhHdx4rclykY-paoqW9NniWrCbd7jACOCNPQGxtH6OndBoE7UM_/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2593%25E0%25B9%258C.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdezzrM_r0qjGMvNC53VmF0u6RAWWPN8B1bnsJI80qPIo3oHDVjRP6d99qdkWGPHd57vQVQ_mTfWSZY4dcgQk-mG3sSzhHdx4rclykY-paoqW9NniWrCbd7jACOCNPQGxtH6OndBoE7UM_/s200/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2593%25E0%25B9%258C.jpg" width="150" /></a> เป็นโบราณสถานที่มีฐานร่วมกัน ปรางค์หินแดง มีมุขยื่นออกไปทางเข้าทั้งสี่ทิศ มุขด้านทิศเหนือก่อเป็นชาลาเชื่อมกับหอพราหมณ์ เหนือกรอบประตูทางเข้าด้านนี้ มีทับหลังศิลาทรายจำหลักภาพเล่าเรื่องในมหาภารตะตอนกรรณะล่าหมูป่า</div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<b>ปรางค์ประธาน</b> <br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_5K3GByk6P8eJKLq_rvip1DdrcVQR75e-CuVMncX8T2ydgXoGxvILpnTds8JI6EmT8EopzUwRaVcSoGZ-TSEM398HUX9Pkfnui8KnGhotRWBPB96UfP8qC2GQG-FmRCLX_krsryzstS5K/s1600/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599+.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_5K3GByk6P8eJKLq_rvip1DdrcVQR75e-CuVMncX8T2ydgXoGxvILpnTds8JI6EmT8EopzUwRaVcSoGZ-TSEM398HUX9Pkfnui8KnGhotRWBPB96UfP8qC2GQG-FmRCLX_krsryzstS5K/s200/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599+.jpg" width="150" /></a> นับเป็นปรางค์ประธานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างด้วยศิลาทรายสีขาวล้วน สูง ๒๘ เมตร มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมขนาด ๒๒ เมตร เป็นที่ตั้งของเรือนธาตุ และแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๘ x ๑๕ เมตร อันเป็นส่วนของมณฑปที่เชื่อมต่อกับเรือนธาตุด้านทิศใต้ ทำให้ปราสาทหินพิมายนี้มีมณฑปแปลกไปกว่าสถาปัตยกรรมแบบเขมรในที่อื่นๆ ที่มักจะมีมณฑปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกทั้งนี้เพื่อให้รับกับแผนผังรวมที่หันไปทางทิศใต้รับกับถนนโบราณที่ตัดตรงมาจากเมืองพระนครของอาณาจักรเขมร</div>
<br />
<br />
<br />
<b>คลังเงินหรือธรรมศาลา</b> <br />
<div style="text-align: justify;">
ก่อนจะถึงทางเข้าปราสาทหินพิมายด้านทิศใต้ จะเป็นโบราณสถานสร้างด้วยศิลาแลงและศิลาทรายหลังหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันตก เดิมเรียกว่าคลังเงิน เพราะได้ค้นพบเหรียญสำริด แก้ว แหวน เงิน ทอง และทับหลังเป็นภาพบุคคลกำลังหลั่งน้ำมอบม้าแก่พราหมณ์ ปัจจุบันยังไม่ทราบประโยชน์ใช้งานที่ชัดเจนของโบราณสถานแห่งนี้ ลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๒๖ เมตร ยาว ๓๕.๑๐ เมตร มีบันไดทางเข้าด้านทิศตะวันออก ภายในอาคารแบ่งออกเป็น ๒ ห้องขนาดใหญ่ มีทางเดินผ่านตรงกลางและโดยรอบ ปัจจุบันได้เรียกอาคารนี้ว่าธรรมศาลา ซึ่งอาจเป็นที่ประทับของบุคคลชั้นสูงที่มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็เป็นได้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ขอขอบคุณ</div>
<div style="text-align: justify;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
ที่มา:http://www.thaiwhic.go.th/tentative1.aspx</div>พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-45551668261412206292012-06-03T00:26:00.001+07:002017-05-05T08:01:15.688+07:00พระนามองค์นาคราช และรายละเอียดเฉพาะองค์<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #cccccc; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<div style="background-color: black;">
<div style="background-color: black; color: black; text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<b style="color: #38761d;"><u>พระนามองค์นาคราช และรายละเอียดเฉพาะองค์</u></b><br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhbuQqGZCp0NK1-24wqnxmDg_HwZrH-I2NE2zJ1Ie_iwk5Yc6ooj6MDsXVuJiwD0Db5Q0fOjCqgh8bpJFBp2GuGmpuqitcJZ_lltEoU-XTPJ5pal3TgiOrn7LaXfgXe5EnDygqtDzkk9te/s1600/W9888898-0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="168" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhbuQqGZCp0NK1-24wqnxmDg_HwZrH-I2NE2zJ1Ie_iwk5Yc6ooj6MDsXVuJiwD0Db5Q0fOjCqgh8bpJFBp2GuGmpuqitcJZ_lltEoU-XTPJ5pal3TgiOrn7LaXfgXe5EnDygqtDzkk9te/s200/W9888898-0.jpg" width="200" /></a><br />
<span style="color: #ea9999;"><b style="color: #38761d;"><u><br /></u></b></span></div>
<div style="background-color: black; color: black; text-align: center;">
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #ea9999;">(พญานาคเก้าเศียรแห่งอาณาจักรขอม)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #ea9999;"></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #ea9999;">พระนาม : พระนางโสมาสีวิกาเทวะนาคเทวี<br />พญานาคราชเจ้าแห่ง 3 โลก</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #ea9999;"></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #ea9999;">(สวรรค์/ พิภพ/ บาดาล)<br />เพศ : หญิง (นาคเทวี) </span><span style="color: #ea9999;">จำนวนเศียร 9 เศียร : </span><br />
<div style="background-color: black; color: black;">
<span style="color: #ea9999;"></span></div>
<div style="background-color: black; color: black;">
<span style="color: #ea9999;"></span></div>
<div style="background-color: black; color: black; text-align: center;">
<span style="color: #ea9999;">เรียงสีตามลำดับของเศียรที่ 1-9 ดังนี้ (ชมพู - เขียว - ม่วง - ขาว - แดง - น้ำเงิน - เหลือง - ฟ้า - ส้ม)</span></div>
</div>
<div style="background-color: black;">
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>คุณลักษณะเด่นประจำองค์</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สิริโฉมงดงาม<br />- ดวงจิตอันเป็น 1 เดียว (จากการรวมดวงจิตของพญานาคราชเจ้าผู้เป็นเศียรทั้ง 9)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- มีวาจาสัตย์</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- มีญานบารมี ตามคุณลักษณะประจำองค์ของพญานาคราชเจ้าผู้เป็นเศียรทั้ง 9</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- บูชาความรัก และมั่นคงในรัก</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>ฐานันดรศักดิ์</u> :<br />- พญานาคราชเจ้าที่กำเนิดจากการเสกด้วยอาคมของ</span><span style="color: #ea9999;">เทพสามตา (ฤาษี)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พญานาคราชเจ้าผู้ถูกถ่ายทอดวิชา และพระเวทย์จากเทพสามตา (ฤาษี)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พญานาคราชเจ้าผู้เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรขอม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พญานาคราชเจ้าต้นตระกูลอาณาจักรขอม 9 เศียร</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- </span><span style="color: #ea9999;">ชายา</span><span style="color: #ea9999;">นาคเทวี</span><span style="color: #ea9999;">ของพระฤาษี</span><span style="color: #ea9999;">ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร (</span><span style="color: #ea9999;">พระชัยวรมันที่ 7)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>หน้าที่</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ควบคุมการสร้างปราสาทในพระราชวังทั้งหมดที่อยู่ในอาณาจักรขอม กลุ่มนครวัด-นครธม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ปกครองอาณาจักรขอม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ขยายเผ่าพันธุ์ ให้กำเนิดประชากร (ร่างเป็นมนุษย์ แต่มีอิทธิ์ฤทธิ์ พลังวิเศษจากพญานาค)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สร้างความอุดมสมบูรณ์ทรัพยากร และแหล่งน้ำ</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สร้างอาณาจักร และความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>สถานที่ประทับ</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- (เดิม) ปราสาทวิเมียนอากาศ หรือ ปราสาทพิมานอากาศ จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- (ปัจจุบัน) ปราสาทภูเพ็ก (จังหวัดสกลนคร) ประเทศไทย</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>ฉลองพระองค์</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>ภาคพญานาค </u>:</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พญานาคราชแผ่พังพาน 9 เศียร เศียรทั้ง 9 มีสีทองอมส้ม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระวรกายสีเขียวอ่อนเลื่อมน้ำตาลเข้มอมแดง เกล็ดสีทอง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u><br /></u></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>ภาคมนุษย์</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระพักตร์กลมมน ผิวกายขาวเหลือง รูปร่างผอมบาง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เกศาหยักศกสีน้ำตาลทอง เกล้าครึ่งศีรษะเป็นมวยสูง ปล่อยปลายสยาย</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สวมผ้าแถบสีน้ำตาลทอง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ผ้านุ่งสีน้ำตาลทอง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สวมแหวนอัญมณีสีแดงที่นิ้วชี้ขวา สวมรัดแขนเป็นทองเกลี้ยง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สวมกำไลพญานาคข้อมือซ้าย</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สวมกำไลข้อเท้าเป็นทองเกลี้ยง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- สวมสร้อยคอเป็นแบบห่วงทองเกลี้ยง มีอัญมณีตรงกลางรูปทรงแปดเหลี่ยมสีแดง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>ภาคอิทธิฤทธิ์</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ดวงตาสีแดงอมส้ม เป็นเลื่อมสลับสี</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เฉพาะมุมพระโอษฐ์บนทั้ง 2 ข้าง ปรากฎเขี้ยวสีขาวยาวลงมาประมาณ 1 เซ็นติเมตร ขณะแย้มพระสรวล</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>บัลลังก์ประทับ</u> : </span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระแท่นส่วนพระองค์ จะอยู่ด้านทิศเหนือเป็นแบบเรียบ ไม่มีการแกะสลักใด ๆ ด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม บุด้วยผ้าสีเทาควันบุหรี่ ทอลวดลายบนเนื้อผ้าด้วยดิ้นสีเงิน (พระนางนาคฯ จะแบ่งร่างเป็นมนุษย์ส่วนบน ส่วนล่างเป็นพญานาค และบรรทมหลับโดยการนั่ง)</span><br />
<span style="color: #ea9999;"><br /></span>
<span style="color: #ea9999;">- ห้องและพระแท่นบรรทมด้านทิศตะวันออก ไว้ใช้สำหรับบรรทมร่วมกับพระชัยวรมันที่ 7 เพื่อให้กำเนิดประชากรพญานาค (ในขณะบรรทมบนพระแท่นบรรทมนี้พระนางนาคฯ จะแบ่งร่างเป็นมนุษย์)</span><br />
<span style="color: #ea9999;"><br />- ห้องและพระแท่นบรรทมด้านทิศตะวันตก </span><span style="color: #ea9999;">ไว้ใช้สำหรับบรรทมร่วมกับพระชัยวรมันที่ 7 เพื่อให้กำเนิด</span><br />
<span style="color: #ea9999;">ประชากรกึ่งมนุษย์-กึ่งพญานาค </span><span style="color: #ea9999;">(ในขณะบรรทมบนพระแท่นบรรทมนี้พระนางนาคฯ จะแบ่งร่างเป็นมนุษย์)</span><br />
<span style="color: #ea9999;"><br />- ห้องด้านทิศใต้ มีจำนวนทั้งสิ้น 10 พระแท่น เป็นที่ประทับของพระนางนาคฯ แ</span><span style="color: #ea9999;">ละพญานาคราชเจ้า</span><span style="color: #ea9999;">ทั้ง 9 องค์ </span><span style="color: #ea9999;">ผู้เป็น</span><span style="color: #ea9999;">เศียรของพระนางนาคฯ</span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><u>อื่น ๆ</u> :</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- องค์เทพสามตา (ฤาษีที่มีรอยสักอักขระยันต์สีแดงตามร่างกาย เป็นผู้สร้างตัวตนของพระนางนาคเก้าเศียรให้กำเนิดขึ้น โดยการเสกด้วยอาคม เพื่อสร้างประชากร ความเจริญ รุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์ และอาณาจักร </span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- องค์เทพสามตา อัญเชิญองค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช (พญานาคราชเจ้า 7 เศียรแห่งเมืองนครวัด นครธม) มากำหนดเขตพื้นที่ สำหรับทำพิธีกรรมอัญเชิญดวงจิตให้กับพระนางนาคเก้าเศียร</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- บริเวณปราสาทวิเมียนอากาศ (พิมานอากาศ) และพื้นที่โดยรอบในปัจจุบัน คือ สถานที่ที่องค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราชกำหนดเขตไว้สำหรับประกอบพิธีกรรม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- องค์เทพสามตาอัญเชิญดวงจิต และวิญญาณแห่งเทพพญานาคราชเจ้าทั้ง 9 ที่อยู่ในวัง และตามสถานที่ประทับของแต่ละองค์ เข้าสู่กายนิมิตของพระนางนาควันละ 1 เศียร จนครบ 9 เศียร รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- องค์เทพสามตา ตั้งชื่อพระนางนาคเก้าเศียรองค์นี้ว่า "โสมา” และมอบมนต์ไว้ใช้กำกับพญานาคราชเจ้าทั้ง 9 เศียรของท่าน จำนวน 1 บท (แต่พระนางนาคโสมาไม่เคยนำมาใช้)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เมื่ออัญเชิญดวงจิตครบ 9 วัน สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยในพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ต่างก็ได้รับญาน บารมีที่สูงขึ้น กลายเป็นพญานาคทั้งหมด รวมไปถึงพญางูจงอางที่มีนามว่า "สักกะ" และ "แสงนิล" ผู้เป็นคู่ครอง โพรงอาศัยของท่านก็อยู่ในตำแหน่งที่มีการประกอบพิธีกรรมด้วย</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พญานาคราชเจ้าทั้ง 9 เศียรทำหน้าที่เพื่อพระนางนาคโสมา ดุจมีดวงใจเป็นหนึ่งเดียว และเรียกพระนางนาคโสมาว่า "เจ้านางน้อย"</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมา และองค์อินทรนาคราช (ผู้เป็นเศียรที่ 2) มีความผูกพันต่อกันเป็นคู่รัก</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- องค์อินทรนาคราช (พญานาคราชเจ้าแห่งพนมบุรี) ได้สร้างปราสาทวิเมียนอากาศขึ้น เพื่อให้เป็นที่ประทับของพระนางนาคโสมา</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมาปั้นแต่งที่ประทับภายในปราสาทวิเมียนอากาศ (พิมานอากาศ) ด้วยอาคม มีลวดลายลงรักสีเงิน (ขาวเหลือบมุก) บนผนังปราสาทสีน้ำตาลเข้มอมแดง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พญางูจงอาง "สักกะ" สำนึก และชื่นชมในพระบารมีของพระนางนาคโสมา ที่ทำให้ตนได้กลายเป็นพญานาค จึงจงรักภักดี และเฝ้ามองที่จะใกล้ชิดท่านด้วยใจปฏิพัทธ์</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เมื่อพระนางนาคโสมา รับรู้ถึงความจงรักภักดีของพญานาคสักกะ จึงรับเข้าเป็นทหารนาคของท่าน ด้วยความเก่งกล้าจึงถูกแต่งตั้งให้เป็น "ขุนสักกะนาคราช" ทหารเอกในความปกครองขององค์อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช (เศียรที่ 5)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ความจงรักภักดีของขุนสักกะนาคราช ทำให้พระนางนาคโสมา มอบหมายให้เป็นผู้ทำงานสำคัญที่ไม่เป็นทางการ ขุนสักกะนาคราช จะใช้คำเรียกแทนองค์พระนางนาคโสมาว่า "แม่นางเจ้า"</span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมาถูกกำหนดให้พบกับฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) และบริวาร เพราะต้องมีหน้าที่สืบขยายเผ่าพันธุ์ตามความประสงค์ขององค์เทพสามตา</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมา จึงมีหน้าที่ ๆ ต้องร่วมบรรทมกับฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) เพื่อสร้างประชากร โดยใน 1 วัน จะจุติประชากรได้เพียง 1 ชีวิตเท่านั้น </span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- หลังร่วมบรรทม ประชากรของพระนางนาคโสมา จะจุติเป็นกายนิมิต แล้วกำเนิดออกจากหน้าท้องของท่านในทันที ประชากรที่กำเนิดนี้จุติเป็น </span><span style="color: #ea9999;"> 2 ลักษณะ </span><span style="color: #ea9999;">สลับกันวันเว้นวัน ระหว่างประชากรที่เป็นพญานาค กับประชากรที่เป็นกึ่งมนุษย์-กึ่งพญานาค ตามคุณลักษณะ ดังนี้</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /> <u>แบบที่ 1</u> (ประชากรที่เป็นพญานาค) จะมีชีวิตอาศัยอยู่ในพิภพใต้ดิน หรือในบาดาลได้ตลอดเวลา แต่จะอยู่บนพื้นดินติดต่อกันได้เพียงครั้งละ 7 วัน โดยจะต้องกลับลงสู่พิภพ หรือบาดาลก่อน จึงจะขึ้นมาบนพื้นดินได้ใหม่)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /> <u>แบบที่ 2</u> (ประชากรที่เป็นกึ่งมนุษย์-กึ่งพญานาค) จะมีชีวิตอาศัยอยู่บนพื้นดินได้ตลอดเวลา แต่จะลงไปในพิภพใต้ดิน หรือบาดาลติดต่อกันได้เพียงครั้งละ 7 วัน โดยจะต้องกลับขึ้นไปบนพื้นดินก่อน จึงจะลง ไปในพิภพใต้ดิน หรือบาดาลได้ใหม่) ประชากรทั้งสองแบบสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ และเป็นพญานาคได้ ท่านตั้งชื่ออาณาจักรแห่งนี้ว่า "อาณาจักรขอม"</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- การร่วมบรรทม และการให้กำเนิดนั้น มีความสำคัญแก่อาณาจักรขอม เพราะจะเกิดความอุดมสมบูรณ์ตามมาด้วยทุกครั้งไป จากคุณลักษณะพิเศษที่ประชากรของท่าน สามารถลงไปอยู่ในมิติใต้พิภพ </span><span style="color: #ea9999;">ซึ่งด้านล่างจะเป็นทางเชื่อมต่อกัน</span><span style="color: #ea9999;">ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ ทำให้ประชากรพญานาคของท่านถูกกล่าวขานว่าเป็นพวก "ขอมดำดิน"</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมา ได้ประทานทรัพยากรความอุดมสมบูรณ์ แหล่งน้ำ และความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ ประทานกำลังพลที่เป็นทหารนาคจากเมืองของพญานาคราชทั้ง 9 เศียร ที่ล้วนมีความเก่งกล้า และพละกำลังวิเศษในการ สู้รบ กอปรกับบารมีของฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) จึงทำให้ฤาษี (ผู้เป็นองค์ศิวะเทพอวตาร) ได้รับชัยชนะ และความ</span><span style="color: #ea9999;">สำเร็จ</span><span style="color: #ea9999;">ในการยึดตีเมืองต่าง ๆ มากมาย มีการแผ่ขยายอาณาจักรออกไป</span><span style="color: #ea9999;">อย่างยิ่งใหญ่ จนได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระชัยวรมันที่ 7</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมาสั่งให้พญานาคราชเจ้าแต่ละเศียร สร้างปราสาทหลังใหญ่แต่ละแห่งให้กับ</span><span style="color: #ea9999;">พระชัย วรมันที่ 7 เพื่อใช้ในการต่าง ๆ ตามความประสงค์ โดยหินที่ถูกนำมาสร้างปราสาทแต่ละแห่งนั้นจะเกิดจากการยกเคลื่อนภูเขาหินทั้งลูก แล้วใช้ความคมของหางพญานาคตัดแท่งหินออกเป็นก้อน รอยตัดจึงเรียบคมบาง หินที่ตัดจะถูกลำเลียงผ่านลำน้ำ ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องการสร้างปราสาท การเคลื่อนย้าย และยกหินก้อนใหญ่ขึ้นตั้งไว้บนยอดปราสาทสูง ล้วนต้องใช้พละกำลังจากประชากรที่จุติจากพระนางนาคโสมา และทหารนาคจากเมืองขององค์พญานาคราชเจ้าทั้ง 9 ซึ่งเป็นเศียรของพระนางนาคโสมาทั้งสิ้น หินทุกก้อนที่ถูกนำไปสร้างปราสาท จะมีน้ำลายของพญานาคที่มีลักษณะเป็นเมือกฟองสีขาวคล้ายน้ำลายมนุษย์ทาเคลือบไว้ เพื่อรักษาสีของหินให้สวยงามสม่ำเสมอ ไม่ซีดจาง เมื่อการสร้างปราสาทแล้วเสร็จ ภูเขาที่เคยใช้เป็นแหล่งตัดหิน จะถูกปิดด้วยมนต์ของพญานาคให้ปกคลุมไปด้วยผืนป่า ไม่สามารถมีใครล่วงรู้ ว่าปราสาทนั้นถูกสร้างด้วยหินจากที่ใด ความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และแหล่งน้ำ ความยิ่งใหญ่ เกรียงไกรของอาณาจักรขอมเรืองอำนาจ ภายใต้การปกครองของพระชัยวรมันที่ 7 ที่ไม่มีอาณาจักรใดจะทัดเทียมได้ จึงบังเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เมื่อพระชัยวรมันที่ 7 ได้รับชัยชนะในการสู้รบ อาณาจักรอื่นต่างถวายธิดาและบริวารมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ พระชัยวรมันที่ 7 ทรงรับไว้ไม่ปฏิเสธ เป็นเหตุที่ทำให้พระองค์มีมเหสีอื่นที่เป็นมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- บริวารของพระชัยวรมันฯ และบริวารที่มาจากต่างเมืองของมเหสีต่าง ๆ ได้สืบพันธุ์ และให้กำเนิดมนุษย์ขึ้นในอาณาจักรขอม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- มเหสีที่เป็นมนุษย์ เกิดความริษยาที่พระชัยวรมันฯ ต้องร่วมบรรทมกับพระนางนาคโสมาทุกคืน จึงรังเกียจ กล่าวหาพระนางนาคโสมา และประชากรของท่านว่าไม่ใช่มนุษย์ อีกทั้งพระชัยวรมันฯ ที่ไม่ทรงยึดมั่นในหน้าที่ และคำพูดที่เคยให้ไว้ต่อกัน พระนางนาคโสมาจึงได้ชื่อว่า “รักกับกษัตริย์ที่ไม่ได้มีใจดวงเดียว”</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ความเสียใจ จึงได้มอบหมายให้ขุนสักกะนาคราช ข้ารองบาทคนสนิทไปลอบปลงพระชนม์พระชัยวรมันที่ 7</span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ด้วยพระบารมีของพระชัยวรมันที่ 7 ขุนสักกะนาคราชไม่สามารถสังหารพระองค์ได้ แต่ด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อพระนางนาคโสมา จึงได้พ่นพิษของตน (ลักษณะเป็นกลุ่มควันสีขาว มีฤทธิ์เป็นกรด) ใส่พระชัยวรมันที่ 7 แล้วหลบไปปลิดชีพด้วยสังวาลย์จากอกของตนสิ้นใจตายใต้โพรงหิน</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- เมื่อพระนางนาคโสมา ทราบว่าขุนสักกะกระทำการตามคำสั่งไม่สำเร็จ และหนีไปปลิดชีพตนเอง ท่านจึงปิดปราสาทวิเมียนอากาศ และสาปตนเองด้วยอาคม ให้จมลงสู่พื้นล่างใต้พิภพ ประชากรที่เป็นพญานาคจำนวนมากที่รักท่าน ทั้งหมดจมตามท่านลงไปพร้อมกันในโพรงมิติซ้อนมิติลึกลงไปใต้พื้นดิน ณ บริเวณด้านล่างใต้ปราสาทวิเมียนอากาศในประเทศกัมพูชา (อาณาจักรขอมล่มสลาย ณ บัดนั้น) </span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- หลังจากพระนางนาคโสมาล่มสลายอาณาจักรขอมลงสู่ใต้พิภพ พระชัยวรมันที่ 7 มเหสี และบริวารที่เป็นมนุษย์ทั้งหมดบนพื้นดิน เปลี่ยนเป็นอาณาจักรเขมร หรือประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน เมื่อความอุดมสมบูรณ์ และความเจริญต่าง ๆ เริ่มเสื่อมสลายลง ผู้คนที่เหลืออยู่บนพื้นดินโกรธแค้น ต่างสาปแช่งพระนางนาคโสมา และขุนสักกะนาคราชที่ได้พ่นพิษใส่พระชัยวรมันที่ 7 ไว้ จนเป็นเหตุให้มือของพระชัยวรมันที่ 7 ได้รับผลจากพิษของขุนสักกะฯ (มีบางบทความเขียนไว้ว่า ขณะที่พระชัยวรมันที่ 7 สังหารนางนาคเก้าเศียรนั้น เลือดของนางนาคฯ กระเด็นถูกพระองค์จนเป็นเหตุให้พระองค์เป็นโรคเรื้อนก็มี) </span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ผู้คนและแผ่นดินเขมรต้องคำสาปของพระนางนาคโสมามาอย่างยาวนาน เกิดภัยสงคราม ความยากจน พระพุทธศาสนาไม่เข้าถึง คนเขมรในปัจจุบันไม่สามารถหาหลักฐาน เครื่องมือ และวิธีการสร้างปราสาทในสมัยอาณาจักรขอมได้ การสร้างปราสาทน้อยใหญ่ โดยฝีมือมนุษย์เขมรหลังสมัยอาณาจักรขอมของพระนางนาคโสมา จึงไม่มีความแข็งแรงของตัวปราสาท ปราสาทที่ถูกค้นพบล้วนแต่ผุพังลงแทบไม่เหลือโครงสร้างหลัก </span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ดวงจิตของขุนสักกะนาคราชได้ถูกชุบชีวิตในบารายณ์สระน้ำหลวงข้างปราสาทวิเมียนอากาศ และขมาต่อพระชัยวรมันที่ 7 ณ ลานพระเจ้าขี้เรื้อน ประเทศกัมพูชา (เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ดวงจิตขุนสักกะนาคราชหลุดพ้นจากคำสาป (เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2557)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ทุกดวงจิตของประชากรพญานาคแท้ที่จุติจากท้องของพระนางนาคโสมา ถูกปลดปล่อยให้พ้นจาก คำสาป ณ ยอดปราสาทวิเมียนอากาศ ดวงจิตพระนางนาคโสมาได้รับการถอนอาถรรพณ์สะกดจาก องค์พญาครุฑที่คนเขมรได้กระทำไว้ต่อท่าน และอโหสิกรรมต่อพระชัยวรมันที่ 7 ณ บริเวณลาน พระเจ้าขี้เรื้อน (เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- พระนางนาคโสมา สื่อเรื่องราวความรักของท่านไว้ว่า</span></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"> "เรามีหน้าที่ เรามีคนที่เรารัก เรามีคนที่รักเรา"</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">อธิบายความว่า :-</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">(<u>เรามีหน้าที่</u>) หมายถึง ท่านมีหน้าที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ สร้างประชากร เพื่อขยายอาณาจักรให้เรืองอำนาจแก่พระชัยวรมันที่ 7 ตามความประสงค์ของเทพสามตา เมื่อพระชัยวรมันที่ 7 ไม่มีวาจาสัตย์ตรงตามที่ให้ไว้ ท่านก็เข้มแข็งในการตัดสินใจยุติทุกอย่างลงด้วยความเด็ดเดี่ยว</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">(<u>เรามีคนที่เรารัก</u>) หมายถึง พระนางนาคโสมา มั่นคงในรักต่อพญานาคราชเจ้าผู้เป็นคนรักของท่าน คือ องค์อินทรนาคราช (ผู้เป็นเศียรที่ 2) ด้วยการอธิษฐานจิต ขอตามไปจุติเป็นคนรักขององค์อินทรนาคราชในทุกชาติภพ (สื่อ ณ บริเวณด้านหลังสถูปพระธาตุพนมองค์เดิม)</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">(<u>เรามีคนที่รักเรา</u>) หมายถึง ขุนสักกะนาคราช ผู้จงรักภักดี และมีใจปฏิพัทธ์ต่อพระนางนาคโสมา สละครอบครัวถวายงานเป็นข้ารับใช้ในงานสำคัญที่พระนางนาคฯ ประสงค์ด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อกระทำการไม่สำเร็จได้แสดงความจงรักภักดี โดยวิธีปลิดชีพตนเอง</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">- ดอกไม้ของพระนางฯ มีชื่อว่า "ทิวายัณห์" เป็นดอกไม้ที่อยู่ใต้ดิน มีกลีบดอกสีขาวครีม กำเนิดขึ้นในป่าหิมพานต์ ในทุกคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ดอกไม้นี้จะผุดขึ้นมาจากใต้ดิน เพื่อบานรับแสงจันทร์ แล้วหุบกลับคืนลงสู่ใต้ดินเช่นเดิม</span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;"><br /></span></div>
<div style="color: black; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="color: black; text-align: center;">
<span style="color: #ea9999;">บทอัญเชิญ : " โอม โสมา สีวิกาเทวะ นาคะเทวี "</span></div>
<div style="color: black; text-align: center;">
<b style="color: #ea9999;"><br />ผู้เกี่ยวข้อง </b><span style="color: #ea9999; text-align: start;">: มีปรากฎแล้ว</span></div>
</div>
</div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #ea9999;"><span style="text-align: start;"><br /></span></span></div>
</div>
<div style="text-align: start;">
<div>
<div>
<div style="text-align: center;">
<div style="background-color: black;">
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
<div style="background-color: black; text-align: left;">
<span style="color: #ea9999;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ : <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post.html</a> และ <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_8220.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_8220.html</a></span></div>
<br />
<br />
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #a64d79;">เศียรลำดับที่ 1</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #a64d79;">สีชมพู</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #a64d79;">จำนวนเศียร 1 เศียร </span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #a64d79;"><b>พระนาม</b> : <b>มณีนครทรรธนาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #a64d79;"><span style="color: #a64d79;"><b> </b></span>(พญานาคสวรรค์) <b>เพศ</b> : ชาย-หญิง (นาคะ-นาคี)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><u><br />คุณลักษณะเด่นประจำองค์</u> :</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;">- มุ่งมั่นรักษาศีล</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;">- ทำในสิ่งที่ถูกต้อง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;">- กลายร่างเป็นอะไรก็ได้ทั้งชายและหญิง เมื่อกลายร่างแล้วจะมีฤทธิ์เทียบเท่ากับคน ๆ นั้น</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><u><br />ฐานันดรศักดิ์</u></b> : เจ้าเมืองม่านฟ้า ประเทศพม่า</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><u><br />สถานที่ประทับ</u></b> : <b>ดูแลและปกปักรักษาพระธาตุอินทร์แขวน ประเทศพม่า</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><u><br />ฉลองพระองค์</u> :</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b>ภาคพญานาค :</b> เป็นพญานาคราชสีชมพู พระวรกายเกล็ดสีขาวส้ม ครีบสีทอง เศียรสีแดง นัยน์ตาสีส้ม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><br />ภาคมนุษย์ :</b> พระพักตร์สีขาว แต่งองค์ชุดคล้ายเทวราชประจำทิศ สวมกางเกงแพร ชุดขาว-ชมพูเลื่อม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;">สวมรัดแขนมีจีบยก สังวาลย์สีชมพู สายสังวาลย์สีทอง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><u><br />อื่น ๆ</u> :</b> ลักษณะเศียรทางภาคเหนือ, พระแม่มนสาเทวีในศาสนาฮินดู</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #a64d79;"><b><br />บทอัญเชิญ : " จันทมณี สุริยะโชติ เอหิจิตตัง ม่านฟ้าปะทัง จุติ "</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #a64d79;"><b><br />ผู้เกี่ยวข้อง </b>: --</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #d5a6bd;"><span style="text-align: left;"><br /><span style="color: #a64d79;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ </span></span><span style="color: #a64d79;">: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_8972.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_8972.html</a></span></span></div>
<br />
<br />
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #93c47d;">เศียรลำดับที่ 2</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #93c47d;">สีเขียว</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #93c47d;">จำนวนเศียร 3 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #93c47d;"><b>พระนาม</b> : <b>อินทรนาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #93c47d;"><b>เพศ </b>: ชาย (นาคะ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<b><span style="color: #93c47d;"><u>คุณลักษณะเด่นประจำองค์</u> :</span></b></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;">- เนรมิตตนให้มีขนาดใหญ่โตและยาวได้มากตามความต้องการ</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;">- เดินทางไปไหนก็ได้ ได้รับพรจากพระอิศวร (อวตาร)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;"><b><u><br />ฐานันดรศักดิ์</u></b> : เจ้าเมืองแห่งพนมบุรี (ใต้บาดาลสามารถเชื่อมไปยังวิมานบนอากาศ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;"><b><u><br />สถานที่ประทับ</u></b> : <b>บึงใต้ฐานสถูปพระธาตุพนมองค์เดิม <br />(วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร) อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ประเทศไทย</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;">(ใต้บาดาลสามารถเชื่อมไปยังวิมานบนอากาศ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<b><span style="color: #93c47d;"><u><br />ฉลองพระองค์</u> :</span></b></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;"><b>ภาคพญานาค </b>:</span><br />
<span style="color: #93c47d;">เป็นพญานาคราชสีเขียว </span><br />
<span style="color: #93c47d;">พระวรกายสีเขียว </span><br />
<span style="color: #93c47d;">เศียรสีทอง </span><br />
<span style="color: #93c47d;">นัยน์ตาสีแดงเข้ม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;"><b>ภาคมนุษย์ </b>: </span><br />
<span style="color: #93c47d;">แต่งองค์สวมสังวาลย์สีเขียว </span><br />
<span style="color: #93c47d;">พระพักตร์คมเข้ม มีเครา มีเศียรพญานาคไทย 3 เศียรแผ่พังพาน</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;">เศียรทั้ง 3 เปรียบเสมือนช้างสามเศียร (ช้างเอราวัณ) พาหนะของพระอิศวรเจ้า</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;"><b><u><br />อื่น ๆ</u> :</b> อิศวรครอบร่าง</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #93c47d;"><br />บทอัญเชิญ : " อินทรราชา นาคะพุทธา พนมราชจุติ "</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: left;">
<span style="color: #93c47d;"><b><br /><u>ผู้เกี่ยวข้อง</u> </b>: มีปรากฎแล้ว</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="text-align: left;"><br /></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #93c47d;"><span style="text-align: left;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ </span>: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_7721.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_7721.html</a></span></div>
<br />
<br />
<br />
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #8e7cc3;">เศียรลำดับที่ 3</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #8e7cc3;">สีม่วง</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #8e7cc3;">จำนวนเศียร 5 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #8e7cc3;">พระนาม : <b>ฉัตรบำเพ็ญสุทัศน์นาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #8e7cc3;">เพศ : ชาย (นาคะ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><b><u>คุณลักษณะเด่นประจำองค์</u></b> :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;">- มีญานบารมีสูง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;">- รักความยุติธรรม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;">- เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่วงหน้าได้</span></div>
<div style="background-color: black;">
<u><b><span style="color: #8e7cc3;"><br /></span></b></u></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><u><b>ฐานันดรศักดิ์</b></u> : เจ้านาคราชแห่งพิมายนคร ชายาพระนามว่า ศิริจันทรานาคราช</span></div>
<div style="background-color: black;">
<b><u><span style="color: #8e7cc3;"><br /></span></u></b></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><b><u>สถานที่ประทับ</u></b> : <b>ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<b><u><span style="color: #8e7cc3;"><br /></span></u></b></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><b><u>ฉลองพระองค์</u></b> :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;">ภาคพญานาค : เป็นพญานาคราชสีม่วง พระวรกายสีม่วง ครีบสีทอง ท้องสีฟ้า</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;">ภาคมนุษย์ : ยังไม่ปรากฎ</span></div>
<div style="background-color: black;">
<b><u><span style="color: #8e7cc3;"><br /></span></u></b></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><b><u>อื่น ๆ</u></b> : นาคราชขอมเก่า</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><br /></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #8e7cc3;">บทอัญเชิญ : " สุทัศน์นาคราช ชัยยะพุทธา โอมมหาเตโช จุติ "</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #8e7cc3;"><br /></span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: left;">
<span style="color: #8e7cc3;"><b><u>ผู้เกี่ยวข้อง</u></b> : --</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #8e7cc3;"><span style="text-align: left;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ </span>:
</span></div>
<br />
<br />
<br />
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
<b>เศียรลำดับที่ 4</b></div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
สีขาว</div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
จำนวนเศียร 5 เศียร</div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
พระนาม : <b>สุวรรณทนาคราช</b></div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
เพศ : ชาย (นาคะ)</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b>คุณลักษณะเด่นประจำองค์ :</b></div>
<div style="background-color: black; color: white;">
ขาวดุจผู้ทรงศีล</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
- กำหนดญานบารมีได้สูงมาก</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
- สามารถชุบชีวิตคนได้</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
- ดูแลประชาชนของพระนาง</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u>ฐานันดรศักดิ์ </u></b>: เจ้าบาดาลแห่งพนมรุ้งนคร</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u>สถานที่ประทับ</u></b> : <b>พนมรุ้ง (เทวราชดูแลทั้ง 9 ทิศ)</b></div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u>ฉลองพระองค์</u></b> : พระวรกายเป็นสีขาวขลิบทอง</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
เศียรสีขาวอมชมพู ครีบสีทอง แต่งชุดสีขาวเมื่อเป็นคน หมั่นบำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ สร้อยสังวาลย์เป็นสีทองอมชมพู</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
<b>บทอัญเชิญ : "สุวรรณมัชชะ ปะมะทัง สักกะระยานัง เอหิพุทโธ"</b></div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: center;">
<b><br /></b></div>
<div style="background-color: black; color: white; text-align: left;">
<b><u>ผู้เกี่ยวข้อง</u></b> : มีปรากฎแล้ว</div>
<div style="background-color: black; color: white;">
<span style="text-align: left;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ </span>: <a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_8227.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_8227.html</a></div>
<br />
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #990000;">เศียรลำดับที่ 5</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #990000;">สีแดง</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #990000;">จำนวนเศียร 7 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #990000;">พระนาม : <b>อาทิตยสิทธิ์มหานาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #990000;">เพศ : ชาย (นาคะ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">คุณลักษณะเด่นประจำองค์ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">- วาจาสิทธิ์</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">- พระเวทย์</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">- อยู่หลังเมื่อพระนางออกว่าราชการ นำหน้าพระนางเมื่อมีภัย</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">ฐานันดรศักดิ์ : เจ้าแห่งเมืองนครวัด นครธม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">เจ้าแห่งลุ่มน้ำทั้ง 9 ในเขมร</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">พญานาคราชขอม 7 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">สถานที่ประทับ : <b>ปราสาทนครวัด นครธม จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">ฉลองพระองค์</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">ภาคพญานาค : ตาสีแดง เศียรสีแดงเข้ม ท้องสีขาวอมแดง (มีให้เห็นตามปราสาททั่วไปในเขมร)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">ภาคมนุษย์ : เสื้อสีขาว กางเกงสีแดง สวมกำไลที่ข้อเท้าข้างขวา ใบหน้ามีเครา และหนวด ใบหน้าคม รูปร่างสันทัด มีพลังจิตที่เข้มแข็ง เข้าถึงยาก ชี้นิ้วไปข้างหน้าปราบศัตรูและหมู่มาร</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">บทอัญเชิญ : "อาทิตยะ มะยะสะภา สุยาธินัง สุปะนัตตัง เอหิจิตติ"</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;">ผู้เกี่ยวข้อง : --</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #990000;"><span style="text-align: left;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ</span><span style="text-align: left;"> </span>:
</span></div>
<br />
<br />
<br />
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #3d85c6;">เศียรลำดับที่ 6</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #3d85c6;">สีน้ำเงิน</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #3d85c6;">จำนวนเศียร 1 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #3d85c6;">พระนาม : <b>เอนกอังกูรจันทนาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #3d85c6;">เพศ : ชาย (นาคะ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">คุณลักษณะเด่นประจำองค์ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">- ชอบความเงียบ สันโดด</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">- ไม่ยอมใคร มีอาคมเก่งกล้า</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">- หายตัวได้</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">ฐานันดรศักดิ์ : เจ้าเมืองแห่งขุนเขาและสายน้ำ</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">สถานที่ประทับ : <b>ปราสาทเมืองสิงห์ ถ้ำ และ เขื่อนต่าง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">ฉลองพระองค์ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">ภาคพญานาค : เป็นพญานาคราช 1 เศียร ลำตัวและเกล็ดเป็นสีน้ำเงิน ใต้ท้องเป็นสีดำ เศียรเป็นสีแดง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">ภาคมนุษย์ : แต่งองค์ชุดสีขาวคล้ายฤาษี มีเครายาวมาก</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">อื่น ๆ : วันเพ็ญในเขื่อนท่านจะลอยขึ้นผิวน้ำ มีบุญถึงได้พบท่าน</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">บทอัญเชิญ : " สิงหราชเดโช จุติมะยัง เอหิจิตตัง จุติ จุติ "</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;">ผู้เกี่ยวข้อง : --</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #3d85c6;"><span style="text-align: left;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ </span>:
</span></div>
<br />
<br />
<span style="background-color: black;"><br /></span>
<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: #f1c232; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif; font-size: 16px;"><b><span lang="TH">เศียรลำดับที่ </span></b><b>7</b></span></span><br />
<div align="center" style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #f1c232; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH">สีเหลือง</span><o:p></o:p></b></span></div>
<div align="center" style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #f1c232; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH">จำนวนเศียร </span>3 <span lang="TH">เศียร</span><o:p></o:p></b></span></div>
<div align="center" style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #f1c232; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH">พระนาม :</span><span class="apple-converted-space"> </span><span lang="TH">จันทผ่องอำไพนาคราช</span><o:p></o:p></b></span></div>
<div align="center" style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH" style="color: #f1c232;">เพศ : หญิง (นาคี)</span><span style="color: #f6b26b;"><o:p></o:p></span></b></span><br /><span lang="TH" style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><span lang="TH" style="color: #e36c0a;"><b><br /></b></span></span></span></div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><u><span lang="TH">คุณลักษณะเด่นประจำองค์</span></u><span lang="TH"> :</span></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH"><span style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- <span lang="TH">สั่งเป็น สั่งตายได้</span><o:p></o:p></b></span></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH"><span style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- <span lang="TH">คนเขมรกลัวยิ่ง</span><o:p></o:p></b></span></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH"><span style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- <span lang="TH">พูดน้อย</span><o:p></o:p></b></span></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH"><span style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- <span lang="TH">มีเสียงหวานไพเราะ แต่เข้มด้วยพลัง </span></b></span></span><br /><span lang="TH"><span style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- เขียนอักขระและร่ายพระเวทย์ได้แกร่งกล้า </b></span></span><br /><b style="color: #ffd966;"><u><br /></u></b><b style="color: #ffd966;"><u>หน้าที่</u> :</b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- ให้คำปรึกษาแก่พระนางในการคัดเลือกเหล่าทหาร<br />- ประทานพรอันเป็นมงคลให้แก่กองทัพหน้า ก่อนที่ทหารจะออกทำสงคราม</b></span><br /><span style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- ควบคุมเหล่านาคทหารในการสร้างปราสาทแม่บุญตะวันออก</b></span><br /><span style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><br /></b></span></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><u>ตำแหน่งในร่างกายที่สถิตย์ และดูแลรักษา</u> :</b></span><br /><br /><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- แผ่นอก</b></span><br /><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><u><span lang="TH"><br />ฐานันดรศักดิ์</span></u><span lang="TH"> :</span></b></span><br /><br /><span lang="TH" style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><span lang="TH" style="color: #ffd966;"><b>- พญานาคราชเจ้าเมืองอุบลศรีนครรามเทพ</b></span></span></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- <span lang="TH">พญานาคราชขอม </span>3 <span lang="TH">เศียร </span></b></span><br /><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><br /></b></span></span></div>
</div>
<div style="font-family: arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><u><span lang="TH">สถานที่ประทับ</span></u><span lang="TH"> :</span></b></span><br /><br /><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- จังหวัดอุบลราชธานี และประเทศกัมพูชา (เขมรตอนต้น)</b></span><br /><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b>- วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี</b></span><b><span style="color: #ffe599;">- ปราสาทธาตุนางพญา อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี่</span></b><br /><b style="color: #ffd966;"><span lang="TH"><u><br /></u></span></b><b style="color: #ffd966;"><span lang="TH"><u>บัลลังก์ที่ประทับ</u> :</span></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<div style="color: black; font-family: "Times New Roman"; margin: 0cm; text-align: center;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><span lang="TH" style="background-color: black;"><b><span lang="TH">- เป็นหินใต้ฐานสลักเห็นเป็นรูปหกเหลี่ยม</span> </b></span></span></div>
</div>
<div style="color: black; font-family: "Times New Roman"; margin: 0cm; text-align: center;">
</div>
</div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><b style="color: #ffd966;"><u><span lang="TH"><br /></span></u></b><b style="color: #ffd966;"><u><span lang="TH">ฉลองพระองค์</span></u><span lang="TH"> :</span></b><br /><b style="color: #ffd966;"><span lang="TH"><br /></span></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH">ภาคพญานาค </span><span lang="TH">:</span></b></span><br /><b style="color: #ffd966;">- <span lang="TH">พระวรกายสีเหลือง</span></b><br /><b style="color: #ffd966;">- <span lang="TH">ครีบสีทอง</span></b><br /><b style="color: #ffd966;">- <span lang="TH">ท้องสีขาว</span></b><br /><b style="color: #ffd966;">- <span lang="TH">เศียรสีทอง</span></b><br /><b style="color: #ffd966; text-align: center;">-<span lang="TH"> นัยน์ตาสีเหลือง</span></b><br /><b style="color: #ffd966; text-align: center;"><span lang="TH"><br /></span></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH">ภาคมนุษย์</span><span lang="TH"> :</span></b></span><br /><b style="color: #ffd966;">- <span lang="TH">แต่งองค์ชุดแบบชาวอีสานใต้ (ชุดโบราณ)</span></b><br /><b style="color: #ffd966;">-<span lang="TH"> สไบสีทอง</span></b><br /><b style="color: #ffd966;">- <span lang="TH">สวมกำไลนาคราช </span>3 <span lang="TH">เศียรที่ข้อมือขวา</span></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><br /></b></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: black;"><span lang="TH" style="color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><u><span lang="TH">อื่น ๆ</span></u><span lang="TH"> :</span></b></span><br /><b style="color: #ffd966;">- พูดได้ทั้งภาษาไทย และภาษาเขมร ดูแลแม่น้ำโขงส่งให้เขมร</b></span></div>
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b></b></span></div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><br /></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div>
<span lang="TH" style="background-color: black; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><span lang="TH" style="color: #f1c232;"><u>บทอัญเชิญ</u> : " จุติปุระ อำไพผ่องศรี จันทนาคี เอหิ มะมะ "</span></b><b style="color: #ffd966;"><o:p></o:p></b></span></div>
</div>
<div style="color: #ffff99; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; margin: 0cm;">
<div style="text-align: left;">
<span lang="TH" style="background-color: black; color: #ffd966; font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><b><br /></b></span></div>
</div>
<span style="background-color: black;"><b style="color: #ffd966; font-family: arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px; text-align: left;"><u><span lang="TH">ผู้เกี่ยวข้อง</span></u><span lang="TH"> : -- มีปรากฏ</span></b></span></div>
<br />
<br />
<br />
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #6fa8dc;">เศียรลำดับที่ 8</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #6fa8dc;">สีฟ้า</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #6fa8dc;">จำนวนเศียร 3 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #6fa8dc;">พระนาม : <b>จันทรคุปต์นาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #6fa8dc;">เพศ : ชาย (นาคะ)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">คุณลักษณะเด่นประจำองค์ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">- รักษาคำพูด</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">- มนตรานาคราช มีพิษที่ร้อนแรง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">- ดูแลท้องฟ้า และ ผืนน้ำ</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">- เคลื่อนย้ายสิ่งของไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ดุจภูเขาได้ในพริบตา</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">- เสกสิ่งของให้กลายเป็นหินได้</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">ฐานันดรศักดิ์ : เจ้าเมืองเวียงจันทร์ (เชียงตุง)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">สถานที่ประทับ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<b><span style="color: #6fa8dc;">1. กลางลำน้ำโขง บริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของโรงแรมมงคล อ.เวียงจันทร์ ประเทศลาว</span></b></div>
<div style="background-color: black;">
<b><span style="color: #6fa8dc;">2. ใต้พระธาตุหลวง อ.เวียงจันทร์ ประเทศลาว</span></b></div>
<div style="background-color: black;">
<b><span style="color: #6fa8dc;">3. วัดพระแก้ว อ.เวียงจันทร์ ประเทศลาว</span></b></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">ฉลองพระองค์ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">ภาคพญานาค : เป็นพญานาคราชสีฟ้า-ขาว 3 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">ภาคมนุษย์ : พระหัตถ์ซ้ายถือกริช สวมเสื้อสีฟ้า สวมกางเกงสีขาว สวมรองเท้าสีทอง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">อื่น ๆ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">บทอัญเชิญ : " จันทมนตรา ธาตุหลวงบูชา จุติ จุติ "</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;">ผู้เกี่ยวข้อง : --</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #6fa8dc;"><span style="text-align: left;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ </span>:
</span></div>
<br />
<br />
<div style="background-color: black;">
<br /></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<b><span style="color: #e69138;">เศียรลำดับที่ 9</span></b></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #e69138;">สีส้ม</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #e69138;">จำนวนเศียร 1 เศียร</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #e69138;">พระนาม : <b>มณีรัชตินาคราช</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #e69138;">เพศ : หญิง (นาคี)</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;"><b><u>คุณลักษณะเด่นประจำองค์</u></b> :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">- ปิดเปิดญานบารมี</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">- สิริโฉมงดงาม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">- แสนงอน ชอบของสวยงาม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">- จัดสรรตกแต่งเครื่องทรงให้กับพระนาง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">ฐานันดรศักดิ์ : เจ้าเมืองน่าน</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">สถานที่ประทับ : <b>ใต้เจดีย์พระธาตุแช่แห้ง ในจังหวัดน่าน</b></span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">ฉลองพระองค์ :</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">ภาคพญานาค : เป็นพญานาคราชสีส้ม พระวรกายเกล็ดสีขาวส้ม ครีบสีทอง เศียรสีแดง นัยน์ตาสีส้ม</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">ภาคมนุษย์ : แต่งองค์ชุดไทยภาคเหนือ สีส้ม ผิวขาว สวมอัญมณีชุดใหญ่ ชอบสีทอง</span></div>
<div style="background-color: black;">
<span style="color: #e69138;">อื่น ๆ :</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: center;">
<span style="color: #e69138;"><b>บทอัญเชิญ : " มะสุธิยะ จะนะสะยา มณีรัตนะ จุติ "</b></span></div>
<div style="background-color: black; text-align: left;">
<span style="color: #e69138;"><b><u>ผู้เกี่ยวข้อง</u> </b>: --</span></div>
<div style="background-color: black; text-align: left;">
<span style="color: #e69138;"><span style="color: #38761d;">ข้อมูลเพิ่มเติ่มสถานที่ประทับ :</span> </span><br />
<span style="color: #e69138;"><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_24.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/blog-post_24.html</a> ภาค1 และ</span><br />
<span style="color: #e69138;"><a href="http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/2_24.html">http://phimeanakas.blogspot.com/2012/05/2_24.html</a> ภาค 2</span></div>
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
<div style="text-align: center;">
<div>
<span style="font-size: x-small;"><br /></span></div>
</div>
พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-34571429667149725572012-05-26T14:24:00.000+07:002012-05-26T14:57:52.943+07:00อธิบายสวรรค์ 6 ชั้น และ พรหมโลก 20 ชั้น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisi5qoyZjtPKKi6jt8PjI5AJdyDP8ymztp9xsPXbQxr5tB2gO8h-lTLeVLUNDoTEMJgxhkQyQHV1-Pa1_PpgiJ3KUUprm2fh-TKKSjr0-bbgnoR93nlJi7bniupE9TofZ0RhJv5cGs06Yb/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8E%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A32.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisi5qoyZjtPKKi6jt8PjI5AJdyDP8ymztp9xsPXbQxr5tB2gO8h-lTLeVLUNDoTEMJgxhkQyQHV1-Pa1_PpgiJ3KUUprm2fh-TKKSjr0-bbgnoR93nlJi7bniupE9TofZ0RhJv5cGs06Yb/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8E%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A32.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: -webkit-auto;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"></span></div>
<div style="text-align: -webkit-auto;">
<span style="color: red; font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>อายุของสวรรค์ 6 ชั้น</b></span></div>
<div style="text-align: -webkit-auto;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สวรรค์ เป็นภพที่มีแต่ความสุขอันเลิศล้ำด้วยกามคุณทั้ง ๕ </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่น่าใคร่น่าพอใจ) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เป็นภพของเทวดาหรือทวยเทพทั้งหลาย </span></div>
<div style="display: inline !important;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">โดยปกติหมายถึงสวรรค์ชั้นกามาพจร </span></div>
<div style="display: inline !important;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">หรือกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น </span></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ซึ่งเรียงลำดับจากชั้นแรกถึงชั้นสูงสุดได้ดังนี้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">1. ชั้นจาตุมมหาราชิกา 50 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">2. ชั้นดาวดึงส์ 100 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 1,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 39 ล้านปีโลกมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">3. ชั้นยามา 200 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 2,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 144 ล้านปีโลกมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">4. ชั้นดุสิต 400 ปีมนุษย์ เป็นวัน 1 วัน คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 4,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 576 ล้านปีโลกมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">5. ชั้นนิมมานรดี 800 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 8,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 2,304 ล้านปีโลกมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">6. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี 1,600 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 16,000 ปีทิพย์ เป็นอายุทิพย์เท่ากับ 9,216 ล้านปีโลกมนุษย์เรา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: -webkit-auto;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: red;"><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>สวรรค์ชั้นที่ 1 </b></span><b style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">จาตุมหาราชิกาภูมิ</b></span></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สวรรค์ชั้นแรกอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป 46,000 โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ 4พระองค์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพมีท้าวจาตุมหาราช ทรงเป็นใหญ่</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดใด </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเมืองใหญ่เป็นเทพนครอยุ่ถึง 4 เทพนคร แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ กำแพงทองทิพย์เหลืองอร่ามงามนัก ประดับประดาไปด้วยสัตตรัตนะแก้ว 7 ประการ ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้ว ซึ่งเป็นวิมานที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลายตั้งเรียงรายอยู่มากมาย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">นอกจากนี้ ยังมีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยดอกบัวนานาชนิด ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ มีดอกไม้นานาพรรณ สีสันวิจิตรตระการตา และมีรุขชาติต้นไม้สวรรค์ซึ่งมีผลอันโอชายิ่ง</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มิ่งไม้ในสวงสวรรค์ มีดอกมีผลเป็นทิพย์ ปรากฏให้เหล่าชาวสวรรค์ได้ชื่นชมตลอดกาลไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา จำแนกย่อยพื้นที่บริเวณของหมู่เทพละเอียดลงไปอีก ตามขั้นตอนการถือกำเนิดเอาไว้ ดังนี้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>อุปัตติเทพ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">การถือกำเนิดด้วยการอุบัติขึ้นมา โดยมีกายทิพย์ หรือ กายละเอียด เป็นวัยหนุ่มสาวขึ้นมาทันใดถ้าเป็นเพศชาย เมื่อสร้างบุญไม้มากพอที่จะมีวิมานของตนเองก็จะไปถือกำเนิดเป็นบุตรของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งถ้าเป็นเพศหญิง เมื่อสร้างบุญมาไม่มากพอที่จะมีวิมานของตนเอง ต้องไปถือกำเนิดเป็นบาทบริจาริกาของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งถ้าหญิงหรือชายสร้างบุญไว้น้อยก็จะถือกำเนิดเป็นเทพผู้คอยดูแลในเรื่องเครื่องทรงของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งถ้าสร้างบุญกุศลไว้มากพอ ก็จะอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าของวิมาน พรั่งพร้อมด้วยบริวารและสิ่งของอันเป็นทิพย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>บาดาล</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ภพที่ใกล้มนุษย์มากที่สุด มีลักษณะเป็นงูต่าง ๆ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>ภูมะ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ที่อยู่ของภูมิเจ้าที่ต่าง ๆ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>รุกขภูมิ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ภูมิที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปเพียงศอกเดียว มีวิมานอยู่บนต้นไม้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>ฉิมพลีภูมิ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดินแดนแห่งเทพผู้มีปีก กึ่งเทพ กึ่งสัตว์ มีฤทธิ์มาก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>คนธรรพ์ภูมิ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>หิมพานต์</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>บรรพภูมิ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดินแดน แห่งฤาษีผู้บำเพ็ญพรต ที่หลบลี้จากโลกมนุษย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>อโยธยาภูมิ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ภูมิของผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน เช่น พ่อหลักเมือง</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>ลับแลภูมิ</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ภูมิของหญิงสาวที่บำเพ็ญเพียร ถือสัจจะเป็นหลัก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>ภุมมา</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b><br /></b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ที่สถิตของเทพบุตร เทพธิดาต่างๆ ที่ยังมีกิเลศ เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษย์ภูมิขึ้นไปมีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ 4 องค์ ได้แก่</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ท้าวธตรัฏฐะ</b> อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองคันธัพพเทวดา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ท้าววิรุฬหกะ</b> อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอบกุมภัณฑ์เทวดา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ท้าววิรูปักขะ </b>อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ</b> อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองยักขเทวดา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มหาราชทั้ง 4 นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือ เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาลมีหน้าที่สอดส่องดูมนุษย์ที่ประกอบผลบุญแล้วรายงานต่อพระอินทร์ เพื่อให้ได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์มีสถานที่ปกครองตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาลเทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวาลภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง 4 เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ แล้ว 50 ปีมนุษย์ เท่ากับ 1วัน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ที่อยู่ของเทวดาเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ จนกระทั่งพื้นดินที่มนุษย์อยู่ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ในทานสูตรว่า...</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<b style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; text-align: -webkit-auto;">ทางไปสวรรค์ชั้น</b><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>จาตุมหาราชิกา</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>"ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา"</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>"ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทานมีจิตผู้พันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>มุ่งการสั่งสมทาน ให้ทาน ด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป</b><b>ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b><br /></b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<span style="color: red; font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>สวรรค์ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ภูมิ</b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไป 46,000 โยชน์ </span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดาวดึงส์ หรือ ดาวดึงสา คือ ภูมิอันเป็นที่เกิดของบุคคล 33 คน ที่ได้สร้างกุศลไว้ในอดีต มีมาฆมานพ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เป็นหัวหน้า เมื่อตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ พร้อมบริวารอีก 32 รวมเป็น 33 เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดาวดึงสานี้ เป็นผืนแผ่นดินผืนแรก ที่เกิดขึ้นในโลกหลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อน้ำงวดลงแผ่นดินผืนแรกที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ ยอดเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้เอง</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ลักษณะของดาวดึงส์ภูมิ เป็นมหานครใหญ่ อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เหนือเขาสิเนรุราชบรรพต ปรางค์ ปราสาทล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์ แวดล้อมรอบเทวนครด้วยปราการกำแพงแก้วทิพย์ อีกเช่นกันมีประตูกำแพงแก้วถึง 1,000 ประตู เมื่อประตูเหล่านั้นเปิดออกแต่ละครั้ง ปรากฏเสียงดังไพเราะยิ่งนัก</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ในท่ามกลางพระนครนั้น มีปราสาทพิมานอันมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลืออยู่วิมานหนึ่ง คือ ไพชยนตปราสาทพิมานมีรูปทรงสูง ประดับไปด้วยแก้ว 7 ประการ งามสุดจะพรรณนา เป็นที่ประทับแห่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว 100 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวดาที่อยู่ชั้นดาวดึงส์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มีอยู่ 2 จำพวก</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>ภุมมัฏฐเทวดา</b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวดา ที่อยู่บนพื้นดิน ได้แก่ พระอินทร์ และ เทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ พร้อมทั้งบริวาร และเทวอสุรา 5 จำพวกที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>อากาสัฏฐเทวดา</b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวดา ที่อยู่ในอากาศ ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยไปในกลางอากาศ ตั้งแต่เหนือพื้นดินยอดเขาสิเนรุไปจดขอบจักรวาล บางวิมานก็มีเทวดาอยู่ บางวิมานก็ไม่มีเทวดาอยู่</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากผลบุญที่ได้กระทำไว้ อารมณ์ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดีเลย เทพบุตรจะมีวัย 20 ปี ส่วนเทพธิดามีวัย 16 ปี เหมือนกันทุก ๆ องค์ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย ให้เห็น มีแต่ความสวยงาม เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดไปเทพบุตรองค์หนึ่ง อาจจะมีนางฟ้าเป็นบาทบริจาริกา(ภรรยา) 500-1,000 หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้ทำไว้เทวดาในโลกนี้ มีการไปมาหาสู่ เบียดเบียนกันเช่นเดียวกับมนุษยโลก มีนักดนตรี นักร้อง เทพบุตร เทพธิดามีความรักใคร่ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน หากขาดคู่ครอง ก็ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตนไม่เบิกบานรื่นเริงเหมือนเทวดาที่มีคู่ครอง</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวดาในชั้นดาวดึงส์ทั้งหลาย ต่างก็ไปหาความสุขสำราญในสวนทั้ง 4 แห่งพร้อมด้วยบริวารของตนอย่างสำเริงสำราญ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>คุณธรรม 7 ประการ</b> ที่ทำให้เป็นพระอินทร์ผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีคุณธรรม7 ประการ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">1.เลี้ยงดูบิดา มารดา</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">2.เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">3.กล่าววาจาอ่อนหวาน</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">4.ไม่กล่าวคำส่อเสียด</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">5.ไม่มีความตระหนี่</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">6.มีความซื่อสัตย์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">7.ระงับความโกรธได้</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ปัจจุบันพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ ได้สำเร็จโสดาบันแล้วด้วยการฟังพระธรรมเทศนาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสักกปัณหสูตร นับเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกในพระพุทธศาสนาและอยู่ในดาวดึงส์ภิภพนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก และสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปกลับไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อีก และได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีเมื่อสิ้นอายุแล้ว จะไปบังเกิดเป็นพรหมโลก ในชั้นสุทธาวาสภูมิขั้นต้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และ อกนิฏฐาภูมิ ตามลำดับ และเข้านิพพาน ในชั้นสุดท้าย</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>สถานที่สำคัญในดาวดึงส์ภูมิ</b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สวรรค์ชั้นที่ 2 มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย ทำให้เกิดเป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญของเทวโลกหลายแห่ง ดังนี้</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ศาลาสุธรรมาเทวสภาสถานที่ฟังธรรมในเทวโลก</b> บรรดาเทวดาทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราชองค์อมรินทร์เป็นประธานศาลาแห่งนี้ ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 500 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 1,200 โยชน์พื้นที่ประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทองเครื่องบน คือ ขื่อ คาน ระแนง ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 หลังคามุงด้วยอินทนิลเพดาน เสา ประกอบด้วยแก้วประพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงินตรงกลางศาลา เป็นที่ตั้งธรรมาสน์ สูง 1 โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 ปกกั้นด้วยเศวตฉัตรสูง 3 โยชน์ข้างธรรมาสน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ และเทวดาอื่น ๆ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ต้นปาริชาต (กัลปพฤกษ์) </b>อยู่ในอุทยานทิพย์ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวาง มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้านกลางสวนนั้นมีต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ ต้นกัลปพฤกษ์ นี้ 100 ปี ถึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้น ดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็จะบานสะพรั่งเหล่าเทพบุตร เทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบานเมื่อดอกไม้สวรรค์บานแล้ว จะปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนักรัศมีดอกปาริชาติจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใดย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดปรารถนาจะได้ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือ ดอกก็ยังไม่ทันตกลงดินโดยมีลมชนิดหนึ่ง จะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แท่นศิลาแก้ว</b> สีแดงดังดอกชบา อ่อนนุ่มดังฟูกเมื่อพระอินทราธิราชประทับพักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไปและเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิมเป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ยุบและฟูเองโดยธรรมชาติ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>สวนสวรรค์อุทยาทิพย์</b>ที่มีความรื่นรมย์ สนุกสนาน หาที่เปรียบไม่ได้ในมนุษยโลก เต็มไปด้วยบุพผาชาตินานาพรรณมีสระโบกขรณีอันทิพย์ มีน้ำใสดั่งแก้ว มีก้อนศิลาที่เป็นทิพย์ รัศมีรุ่งเรือง มีแท่นที่นั่งอันอ่อนนุ่มสีใสสะอาด เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะมาในสวนสำราญเหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">อุทยานทิพย์ มีชื่อเสียง 4 อุทยาน ได้แก่</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- นันทวันอุทยาน</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- จิตรลดาวันอุทยาทิพย์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- มิสกวันอุทยาทิพย์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- ปารุสกวันอุทยานทิพย์</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>พระเกศจุฬามณีเจดีย์ </b>สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ มีความสวยงามรุ่งเรืองยิ่งนัก ยอดพระเจดีย์เป็นทองคำบริสุทธิ์ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 80,000 วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ มีความยาว 160,000 วาประดับด้วยธงนานาชนิด พระเจดีย์นี้เป็นที่บรรจุสิ่งที่มีค่ายิ่ง 2 อย่างคือ </span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>พระเกศโมลี</b> ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ มวยผมที่ตัดออก ขณะที่เสด็จออกบรรพชา และได้อธิษฐานว่า</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">"ถ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิ</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">อย่าได้ตกลงสู้พื้นปฐพีเลย" ครานั้นสมเด็จพระมหาอมรินทราธิราช ผู้เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นี้</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">จึงนำเอาพระผอบทองมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วนำขึ้นไปบนดาวดึงส์สวรรค์</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระโมลีโดยเฉพาะ</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- <b>พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวา</b> ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโทณพราหมณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรสารีริกธาตุได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศีรษะ แล้วจึงได้จัดพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น 8 ส่วนเพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่างๆ ในครั้งนั้นท้าวสักกะเทวราชจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วจากผ้โพกศีรษะของโทณพราหมณ์นั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่งด้วยกิริยาอันเลื่อมใส </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระเกศจุฬามณีเจดีย์นี้</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ทางไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ </b></span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สร้างเสบียงไว้นำทางคือ บุญกุศล พยายามทำตนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ห้ามตนไม่ให้ทำกรรมอันหยาบช้าลามก</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">อย่าให้บังเกิดความสกปรกแห่งกาย วาจา ใจ</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...</span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>"ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่หวังผลบุญของการทำทาน แต่ทำทานโดยคิดว่า การทำทานนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม</b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>เมื่อตายลงย่อไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"</b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b><br /></b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>"ดูกร สารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทาน แล้วให้ทาน</b></span><br />
<b><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำการกิริยาตายไป</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์สวรรค์"</span></b><br />
<b><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></b><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b><span style="color: red;">สวรรค์ชั้นที่ 3 ยามาภูมิ</span></b></span><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ 42,000 โยชน์เป็นภูมิที่สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยความสุขที่เป็นทิพย์ปราศจากความยากลำบากใด ๆ ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์วิมาน และทิพยสมบัติก็ปราณีตมาก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">พระสยามเทวธิราช หรือเรียกว่า พระสุยามะ หรือ ท้าวสุยามะเทวราช ผู้มีอายุยืนถึง 2,000 ปีทิพย์เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นนี้ เรียกว่า ยามา หรือ ยามะ เป็นจำพวกอากาสัฏฐเทวดาจำพวกเดียวเพราะมีวิมานลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่เทวดาที่อยู่ในภูมิสูงขึ้นไปกว่าชั้นนี้ก็ล้วนแต่เป็นอากาสัฏฐเทวดาทั้งสิ้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวดาในชั้นยามาภูมิ ล้วนเป็นผู้มีบุญมาก หน้าตางดงามรุ่งเรืองนัก มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุกเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ ทิพย์วิมานเป็นปราสาทเงิน ปราสาททอง ปราศจากแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์ และ พระจันทร์ มากมายนัก</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มีความสว่างอันเกิดจากรัศมีแห่งแก้ว และรัศมีจากกายของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ถ้าดอกไม้บานก็จะเป็นกลางวันดอกไม้หุบจะเป็นกลางคืน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นยามาภูมิแล้ว 200 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นยามา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ทางไปสวรรค์ชั้นยามา</b> </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ต้องพยายามสร้างบุญ ต้องเป็นผู้หนักแน่นในการบำเพ็ญบุญ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า...</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">"ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเป็นการทำดี แต่คิดว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ได้เคยทำบุญทำทานมาโดยตลอด เราก็ควรได้ทำตามประเพณีที่ท่านเคยทำมา</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ถ้าผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นยามา"</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">"ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เมื่อถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา"</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<b><span style="color: red;"><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สวรรค์ชั้นที่ 4 </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดุสิตาภูมิ</span></span></b><br />
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ห่างไกลจากสวรรค์ชั้นยามาภูมิ ขึ้นไปเบื้องบนประมาณ 42,000 โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เป็นที่สถิตอยู่แห่งปวงเทวดาชาวฟ้าทั้งหลาย ผู้ไม่มีความทุกข์ ปราศจากความร้อนใจ แต่กลับมีแต่ความยินดี</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">และความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์ อีกทั้งยังเป็นภูมิที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ก่อนที่จะไปบังเกิดใมนุษยโลก และ บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ยังเป็นที่เกิดของผู้ที่จะเป็นอัครสาวก ก่อนที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลกอีกด้วย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดังนั้นเทวดาที่อยู่ในชั้นดุสิตาภูมินี้ จึงนับว่าเป็นเทวดาที่ประเสริฐกว่าเทวดาในภูมิอื่อน ๆ โดยมี</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทวาธิบดี</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิแล้ว 400 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">วันในสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ดุสิตาภูมิ เป็นเทพนครที่ตั้งกลางนภากาศ มีปราสาทวิมานอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- รัตนวิมาน คือ วิมานแก้ว</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- สุวรรณวิมาน คือ วิมานทอง</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">- รชตวิมาน คือ วิมานเงิน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ปราสาทวิมานเหล่านี้ ตั้งอยู่เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม แต่ละวิมานเป็นปราสาททิพย์</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มีความวิจิตรตระการเหลือที่จะพรรณนา มีรัตนปราการกำแพงแก้วล้อมรอบทุก ๆ วิมาน</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มีรัศมีรุ่งเรืองเลื่อมพรรณราย สวยงามยิ่งกว่าปราสาทวิมานแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมิ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เทวสถานชั้นนี้ มีสระโบกขรณี และ สวนขวัญอุทยานทิพย์อีกมากมาย</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">สำหรับเป็นที่เที่ยวพักผ่อนให้ได้รับความชื่นบานเริงสราญแห่งเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลาย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ปวงเทพเจ้าทั้งหลาย ผู้เคยได้สร้างกามาวจรกุศลกรรมและผลวิบากแห่งกามาวจรกุศลกรรม ชักนำให้มาอุบัติเกิด ณ </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">โลกสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมินี้ แต่ละองค์มีความสง่างามกว่าเหล่าเทวดาชั้นต่ำ ๆ </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">มีจิตใจรู้บุญรู้ธรรมเป็นอย่างดี มีจิตยินดีต่อการที่จะได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ทุกวันธรรมสวนะ ปวงเทพเจ้าเหล่าดุสิตาภูมินี้ ย่อมจะมีเทวสันติบาตประชุมฟังธรรมกันอยู่เสมอมิได้ขาด</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทพยสภาบดี</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าผู้เป็นพหูสูต</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เป็นผู้รู้ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันมาก จึงทรงมีพระอัธยาศัยน้อมไปในการแสดธรรม</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">และสดับตรังฟังพระธรรมเทศนา</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ปัจจุบันนี้ สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระโพธิสัตว์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เป็นที่รู้จักกันในหมูพุทธบริษัทว่า จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอันตรกัปที่ 13 แห่งภัทรกัปนี้</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">พระองค์ก็สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนี้ และมักได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงธรรม</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">โปรดเหล่าเทพบริษัทในดุสิตสวรรค์นี้อยู่เสมอ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b>ทางไปสวรรค์ชั้นดุสิต</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ต้องอุตส่าห์พยายามสร้างบุญกุศล ชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เพื่ออบรมปัญญาให้เจริญผ่องใส</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ไม่หวั่นไหวโยกคลอน ในการประกอบกุศล ไม่เป็นผู้มัวเมาประมาทในวัยและชีวิตของตน เร่งสร้างกุศล เช่น </span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">บำเพ็ญทาน และรักษาศีลเป็นนิตย์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">"ผู้ใดให้ทานโดยไม่คิดว่าทำตามบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">แต่ให้ทานโดยคิดว่าเราหุงหากิน สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่ได้หุงหากิน ถ้าเราไม่ให้ทาน</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">ก็เป็นสิ่งไม่ควรอย่างยิ่ง</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;">เมื่อเขาตายลง ก็ย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต"</span></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif;"><b><br /></b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><span style="color: red;">สวรรค์ชั้นที่ 5 นิมมานรดีเทวภูมิ</span></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เทวภูมินี้ เป็นที่สถิตของปวงเทพเจ้า ผู้มีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณารมณ์ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเอง โดยมีเทพเจ้ามเหศักดิ์ ทรงนามว่า สมเด็จท่านท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง จึงได้ชื่อว่า นิมมานรดีภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพอันมีสมเด็จพระนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ภายในเทพนคร มีปราสาทเงิน ปราสาททอง และปราสาทแก้ว ทั้งมีกำแพงแก้ว กำแพงทอง อันเป็นของทิพย์เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดา</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
นอกจากนั้น พื้นภูมิภาคยังมีสภาวะเป็นทองราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณี และ สวนอุทยานอันเป็นทิพย์สำหรับเป็นที่เที่ยวเล่นสำราญแห่งเหล่าชาวสวรรค์นิมมานรดีทั้งหลายเช่นเดียวกับสมบัติทิพย์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ต่างกันแต่ว่าทุกอย่างที่นี่มีสภาวะสวยสดงดงามกว่าและประณีตกว่าทิพยสมบัติในดุสิตภูมิ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เทพยดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นนี้ มีรูปทรงสวยงามน่าดูชม ยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าทั้งหลายและมีกายทิพย์ ซึ่งมีรัศมีรุ่งเรืองเป็นยิ่งนัก หากเขาเกิดความปรารถนาจะเสวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใดเขาย่อมเนรมิตเอาได้ตามความพอใจชอบใจแห่งตนทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีความขัดข้องและเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใด ๆ เลย ปรองดอง รักใคร่ และได้รับความสุขสำราญชื่นบาน ทุกถ้วนหน้า</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ทางไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ผู้ที่จำอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องเพียรบริจาคทานเป็นอันมาก อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จิตใจบริสุทธิ์รักษาศีลไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองบุญกุศลให้ยิ่งใหญ่ อบรมจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ให้สกปรกลามกมีมลทิน พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล ผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...</div>
<div style="text-align: justify;">
<b>"ผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเราหุงหากิน แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ได้หุงหากินเราจะไม่ให้ทานก็ไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่ได้คิดว่าเราจะให้ทานเหมือนอย่างฤาษีทั้งหลายที่ได้กระทำมาในอดีต เมื่อตายลงย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดา ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี"</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><span style="color: red;">สวรรค์ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตีเทวภูมิ</span></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
สวรรค์ชั้นสูงสุดของแดนสุขาวดี ตั้งอยู่ในอากาศ ห่างจากนิมมานรดี 42,000 โยชน์ เทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ ทั้งที่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา เวลาใดที่ปรารถนาจะเสวยในกามคุณก็มีเทวดาที่รู้ใจเนรมิตให้ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตมาก็จะสิ้นไปเทวดาชั้นปรนิตมิตวสวัตตีจึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่น ๆ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
วิมาน ทิพยสมบัติ และร่างกาย ของเทวภูมิชั้นนี้มีความสวยงามประณีต มากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดี</div>
<div style="text-align: justify;">
มีอายุยาวกว่าประมาณ 4 เท่า ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิ 6</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เทวภูมิชั้นนี้ เป็นที่สถิตอยู่ของเหล่าเทพยดาจำพวกมารทั้งหลาย โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช และ</div>
<div style="text-align: justify;">
สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทรงเป็นอธิบดี จึงได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ คือภูมิที่อยู่แห่งทวยเทพ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อำนาจปกครองมิได้อยู่แต่เฉพาะเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิเท่านั้นแต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไปถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงอีก 5 ชั้นด้วย คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตนิมมานรดี และมีการปกครองที่แตกต่างจากเทวภูมิอื่น คือแบ่งเป็น 2 แดน อยู่กันฝ่ายละแดนมีเขตแดนกั้นในระหว่างกลาง ต่างฝ่ายต่างอยู่ หากมีกิจจำเป็นจึงจะไปมาหาสู่แก่กัน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>แดนเทพยดา </b>มีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพระเทวาธิราชปกครอง</div>
<div style="text-align: justify;">
<b>แดนมาร </b>มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ปกครอง</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิแล้ว 1,600 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวาวัตตี</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ผู้ที่จะมาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่อบรมจิตใจให้สูงส่งด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีล ก็ต้องบำเพ็ญอย่างจริงจังด้วยศรัทธาอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง และผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้นจึงจะบันดาลให้ไปอุบัติสวรรค์ชั้นนี้ได้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...</div>
<div style="text-align: justify;">
<b>"ผู้ใดทำทาน โดยไม่ได้คิดว่าทำทานตามฤาษีในอดีตที่เคยทำมา แต่คิดว่าทำทานเพื่อให้จิตเกิดความปลาบปลื้มปิติในบุญที่ทำ เมื่อตายลง ย่อมไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี"</b></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
เหนือสวรรค์ 6 ชั้นจะมีต่ออีกภูมิ เรียกว่า พรหมภูมิ หรือ พรหมโลก ถือเป็นดินแดนของพระพรหม ซึ่งเป็นภพภูมิที่สถิตย์อยู่เสวยสุขของพระพรหมผู้อุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก อันเป็นแดนซึ่งมีแต่ความสุขอันเกิดจากฌานเท่านั้น (แบ่งชั้นตามอำนาจฌานที่ได้บรรลุ) ในภพภูมินี้ตามคัมภีร์กล่าวว่าไม่มีความสุขที่เนื่องด้วยกามราคะ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
พรหมภูมิอาจแบ่งออกเป็น 2 พวก ได้แก่ รูปพรหม และ อรูปพรหม</div>
<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: red;">รูปพรหม</span></b><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<b>รูปพรหม หรือ รูปาวจรภูมิ </b>คือ ชั้นที่พระพรหมผู้วิเศษมีรูป หากแต่เป็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ มองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยวิสัยเท่านั้น ประกอบด้วยวิมาน 16 ชั้น</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>สามชั้นแรก รวมเรียกว่า ปฐมฌานภูมิ</b> ด้วยพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยปฐมฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 4 - ชั้นที่ 6 รวมเรียกว่า ทุติยฌานภูมิ</b> ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยทุติยฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 7 - ชั้นที่ 9 รวมเรียกว่า ตติยฌานภูมิ</b> ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยตติยฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ตั้งแต่ชั้นที่ 10 ขึ้นไป รวมเรียกว่า จตุตถฌานภูมิ </b>ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยจตุตถฌาน ชั้นที่ 10-11 ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะห่างไกลกันมาก</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
หากแต่เฉพาะเหล่า<b>พระพรหมในชั้นที่ 12 – 16 เรียกว่า ปัญจสุทธาวาส หรือ สุทธาวาสภูมิ </b>อันเป็นชั้นที่เหล่าพระพรหมในชั้นนี้ <b>ต้องเป็นพระพรหมอริยบุคคลในพุทธศาสนา ระดับอนาคามีอริยบุคคล เท่านั้น</b> ต่างจาก 11 ชั้นแรก แม้พระพรหมทั้งหลายจะได้สำเร็จฌานวิเศษเพียงใด ก็อุบัติในสุทธาวาสภูมิไม่ได้อย่างเด็ดขาด สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ 5 ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิไม่ตั้งในระดับเดียวกันเช่นชั้นแรกๆที่ผ่านมา</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นบริวารแห่งท้าวมหาพรหม พรหมโลกชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรก เป็นพรหมชั้นล่างสุด ตั้งอยู่เบื้องบนสูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ คือไกลจากมนุษยโลกจนไม่สามารถนับได้ ซึ่งหากเอาก้อนศิลาขนาดเท่าปราสาทเหล็ก (โลหปราสาท) ทิ้งลงมาจากชั้นนี้ ยังใช้เวลาถึง 4 เดือนจึงจะตกถึงแผ่นดิน พระพรหมในที่นี้มีคุณวิเศษ โดย<b>เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้ว</b>ทั้งสิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย มีอายุแห่งพรหมประมาณส่วนที่ 3 แห่งมหากัป (1 ใน 3 แห่งมหากัป)</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นปุโรหิต (อาจารย์ใหญ่) ของท้าวมหาพรหม พรหมโลกชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้ทรงฐานะประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม ความเป็นอยู่ทุกอย่างล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหมโลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่า สวยงามกว่า พรหมทุกท่านล้วนมีคุณวิเศษ ได้เ<b>คยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น</b> มีอายุแห่งพรหมประมาณครึ่งมหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ พรหมโลกชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ ที่อยู่แห่งท่านพระพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูปกายประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีก ได้<b>เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุปฐมฌานขั้น ปณีตะคือขั้นสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น</b> มีอายุแห่งพรหมประมาณ 1 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีน้อยกว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าตน พรหมโลกชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน ได้<b>เจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้ว </b>มีอายุแห่งพรหมประมาณ 2 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีรุ่งเรืองหาประมาณมิได้ พรหมโลกชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้ <b>เคยเจริญภาวนาการบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้ว </b>มีอายุแห่งพรหมประมาณ 4 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีเป็นประกายรุ่งเรือง พรหมโลกชั้นที่ 6 อาภัสสราภูมิ <b>เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้ว</b> มีอายุแห่งพรหมประมาณ 8 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีสง่างามน้อยกว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าตน พรหมโลกชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมในพรหมโลกที่สูงกว่าตนนั่นเอง ได้<b>เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น </b>มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้รัศมีสง่างามหาประมาณมิได้ พรหมโลกชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ สง่าสวยงามแห่งรัศมีซึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณได้<b>เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น</b> มีอายุแห่งพรหมประมาณ 32 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีสง่างามสุกปลั่งทั่วสรรพางค์กาย พรหมโลกชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมี ที่ออกสลับ ปะปนกันอยู่เสมอเป็นนิตย์ ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศนาได้<b>เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น</b> มีอายุแห่งพรหมประมาณ 64 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้รับผลแห่งฌานอันไพบูลย์ พรหมโลกชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 500 มหากัป อนึ่งผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก 9 ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่า มีผลไพบูลย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาวธรรมที่เป็นจริง ดังต่อไปนี้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยไฟนั้น พรหมภูมิ 4 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย</div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยน้ำนั้น พรหมภูมิ 6 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย</div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยลมนั้น พรหมภูมิทั้ง 9 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปไม่มีเหลือเลย</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้หาสัญญามิได้ (คือมีแต่รูป) พรหมโลกชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้อุบัติเกิดด้วยอำนาจแห่งสัญญาวิราคภาวนา เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา <b>เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จจตุตถฌาน</b> อันเป็นรูปฌานขั้นสูงสุดสถิตย์อยู่ในปราสาท แก้ววิมานอันมโหฬารกว้างขวาง มีบุปผชาติประดับประดาเรียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว มีหน้าตาสวยสง่าอุปมากังรูปพระปฏิมากรพุทธรูปทองคำขัดสี แต่มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไหวจักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เสวยสุขเป็นประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาล มีอายุแห่งพรหมประมาณ 500 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติแห่งตน สูงขึ้นไปจากอสัญญีสัตตาภูมิประมาณ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่ง<b>พระพรหมอนาคามี</b>อริยบุคคลที่ไม่ละทิ้งสมบัติ <b>เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู่ในจิตสันดานน้อยมาก ด้วยได้เคยเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้วมีปกติเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลจะสถิตย์อยู่จนอายุครบกำหนด ไม่จุติเสียก่อน</b> ต่างจากพระพรหมในสุทธาวาสภูมิที่เหลืออยู่อีก 4 ภูมิ คือพระพรหมในอีก 4 สุทธาวาสภูมิที่เหลือ ซึ่งอาจมีการจุติหรือนิพพานเสียก่อนอายุครบกำหนด มีอายุแห่งพรหมประมาณ 1000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่ง<b>พระพรหมอนาคามี</b> <b>ผู้ละซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสมอ นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้</b>ฉะนั้นจิตใจของท่านเหล่านั้นจึงมีแต่สงบเยือกเย็นได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิริยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 2000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีความเห็น (สภาวธรรม) อย่างแจ่มแจ้ง สูงขึ้นไปต่อจากอตัปปาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่ง<b>พระพรหมอนาคามี ผู้มีความแจ่มใส สามารถเห็นสภาวธรรมได้โดยแจ้งชัดเพราะบริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจักษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ่มใส ชัดเจน</b> ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสตินทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 4000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีความเห็น (สภาวธรรม) อย่างแจ่มแจ้งยิ่ง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่ง<b>พระพรหมอนาคามี ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า มีประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ทั้ง 3 นี้มีกำลังแก่ กล้ากว่าพระพรหมในสุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นในสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ่มใสยิ่ง</b> ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล และในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 8000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ทรงคุณพิเศษไม่มีใครเป็นรอง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีวาสนาบารมี มีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนาโดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน <b>ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น</b> ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดในอกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้งสุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
พรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์สำคัญ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนา องค์หนึ่งมีนามว่า <b>ทุสสะเจดีย์ </b>ซึ่งเป็นที่บรรจุผ้าขาวของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเสด็จออกผนวช โดยพระพรหมทั้งหลายได้นำบริขารและไตรจีวรลงมาถวาย และพระองค์ได้ถอดผ้าขาวที่ทรงอยู่ยื่นให้ พระพรหมจึงรับเอาและนำมาบรรจุไว้ยังเจดีย์ที่นฤมิตขึ้นนี้ และเป็นที่สักการบูชาของพระพรหมทั้งหลายในปัจจุบัน</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง 4 หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน พอสิ้นพรหมายุขัย ก็ต้องจุติจากสุทธาวาสพรหมภูมิที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติในชั้นที่ 16 นี้ เพื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานโดยทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมินี้ เป็นพรหมภูมิที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด</b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><span style="color: red;">อรูปพรหม</span></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>อรูปพรหม หรือ อรูปาวจรภูมิ</b> สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา บรรดาโยคี ฤๅษี ชีไพรดาบส ที่บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา รำพึงว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย ปรารถนาอยู่แต่ในความไม่มีรูป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อรูปภูมิมี 4 ชั้น คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมในชั้นนี้ไม่มีรูปร่าง มีแต่จิตเจตสิก เพราะเห็นว่าหากมีร่างกายอยู่นั้นจะมีแต่โทษ อาจจะไปทำร้ายซึ่งกันและกันได้ จึงบริกรรมด้วยความว่างเปล่า ยึดเอาอากาศซึ่งเป็นความว่างเปล่าเป็นอารมณ์ จนได้ฌานที่มีอากาศเป็นอารมณ์เรียกว่า อากาสานัญจายตนภูมิ ซึ่งมีอายุอยู่ได้สองหมื่นกัปป์ จากนั้นก็อาจภาวนาเพื่อจะได้ไปอยู่ในพรหมโลกขั้นสูงต่อไปอีกได้ อายุของพรหมเหล่านี้จะยืนอยู่ได้สี่หมื่น หกหมื่น และแปดหมื่นสี่พันกัปป์ ตามลำดับ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ชั้นที่ทรงอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึดเอา อากาศ เป็นอารมณ์ เป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม <b>ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์</b> ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 20000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ชั้นที่ทรงภาวะวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึด วิญญาณ เป็นอารมณ์ พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ เป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป และปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตนวิบากจิต มีอายุแห่งพรหมประมาณ 40000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ชั้นที่ทรงภาวะไม่มีอะไรเลย ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึดเอาความไม่มีอะไรเลย เป็นอารมณ์ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป และปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตนวิบากจิตพ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 60000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<b>ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
ชั้นที่ทรงภาวะที่มีสัญญาไม่ปรากฏชัด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้เข้าถึงภาวะมี สัญญา ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่ง พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ 4 มาแล้ว มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิตทั้ง อยู่พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 84000 มหากัป</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ขอขอบคุณที่มา:</div>
<div style="text-align: justify;">
<a href="http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C-6-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-20-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-325984.html">http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C-6-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-20-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-325984.html</a>
</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com10tag:blogger.com,1999:blog-1195067362445786998.post-51621961440117963042012-05-26T13:49:00.000+07:002012-06-10T21:25:42.056+07:00พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก และ บทขอขมากรรมสำนึกผิด<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOtzEt-j-tBmuVEJhI9zVMmQYUipR9r_347rf7divH42ufQSvuOCx7pZXFhzEEBveaEnLNnP_wBC5ZJnEr3EcGfYTiL-9hOWsuzraqfU41d9KXOfmI8d60Vjwd5amQHiTPhnL8n8KwDHox/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2+5+%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C+(4).jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOtzEt-j-tBmuVEJhI9zVMmQYUipR9r_347rf7divH42ufQSvuOCx7pZXFhzEEBveaEnLNnP_wBC5ZJnEr3EcGfYTiL-9hOWsuzraqfU41d9KXOfmI8d60Vjwd5amQHiTPhnL8n8KwDHox/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2+5+%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C+(4).jpg" /></a></div>
<span class="bbccolor"><u><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br /></span></u></span><br />
<span class="bbccolor"><u><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">พระคาถาพระพุทธเจ้า </span></u></span><span class="bbccolor"><u><span lang="EN-US" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">5 </span></u></span><span class="bbccolor"><u><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">พระองค์เปิดโลก</span></u></span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"> </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span class="bbccolor"><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span class="bbccolor"><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">(</span></span><b><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">นะโม </span></b><b><span lang="EN-US" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">3</span></b><b><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"> จบ)</span></b><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
<br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">พุทธังอาราธนานัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก </span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">ธัมมังอาราธนานัง พระธรรมเจ้าเปิดโลก </span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">
สังฆังอาราธนานัง พระสังฆเจ้าเปิดโลก</span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
<br />
<span class="bbccolor"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">นะเปิดบุญ
โมเปิดบารมี พุทธเปิดวาสนา ธาเปิดจิต ยะเปิดธรรม</span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">เปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล เปิดด้วยนะโมพุทธายะ</span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
<br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">ยะเปิดการณ์ดี ธาเปิดงานดี พุทธเปิดโชคดี
โมเปิดลาภดี นะเปิดอำนาจดี </span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">เปิดสิ่งดีๆทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้าฯ ด้วยยะธาพุทโมนะ</span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">นะมะพะทะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง
ขออำนาจบารมีขององค์พระศรีรัตนตรัย โปรดเชื่อมโยงบุญบารมี วาสนาบารมี ฌาณบารมีทั้งหลายทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า
จงมารวมกัน ณ ปัจจุบันชาตินี้ และขอเบิกบุญบารมีทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ณ
กาลบัดนี้ เปิดโลก เปิดจิต เปิดธรรม เปิดด้วยนะโมพุทธายะ
ยะธาพุทโมนะ</span></span><span class="bbccolor"><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">
</span></span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
<br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">พุทธังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ
</span></span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ</span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
</span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">ธัมมังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ</span></span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">
นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ</span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><br />
<span class="bbccolor"> </span></span><span class="bbccolor"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">สังฆังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ </span></span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">นะโมพุทธายะ
นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ</span><span lang="EN-US" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span lang="EN-US" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">*</span><span lang="TH" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">สะหัส สะเนตรโต เทวินโท ทิพพะจักขุง
วิโสธายิ</span><span lang="EN-US" style="color: red; font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;">*<o:p></o:p></span></div>
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"></span><br />
<div style="text-align: center;">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%;"><span style="line-height: 115%;">พุทธังประสิทธิ มหาประสิทธิ
ธัมมังประสิทธิมหาประสิทธิ สังฆังประสิทธิมหาประสิทธิ</span></span></div>
<span lang="TH">
</span><br />
<div style="font-family: Tahoma, sans-serif; line-height: 115%; text-align: center;">
<span lang="TH"><span style="line-height: 115%;"><br /></span></span><br />
<span lang="TH">=============================================</span></div>
<span lang="TH">
</span><br />
บทขอขมากรรมสำนึกผิด<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
ด้วยเดชะ พุทธบารมี ธัมมบารมี สังฆบารมี ข้าพเจ้าจะขอน้อมอัญเชิญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดาทั้งหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล มาเป็นพยานในการขอขมาลาโทษ ขออโหสิกรรม สำนึกผิด ตั้งจิตใหม่ ของข้าพเจ้า ในกาลบัดนี้ด้วยเทอญ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ข้าพเจ้าจะขอตั้งความใฝ่ดี ความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ไว้เป็นเบื้องหน้า จะกราบแทบเท้าขอขมา ขอลาโทษ กระทำคืนความผิดของตน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ข้าพเจ้าจะขอตั้งความใฝ่ดี ความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ไว้เป็นเบื้องหน้า จะกราบแทบเท้าขอขมา ขอลาโทษ กระทำคืนความผิดของตน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนี้ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๑. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อพระพุทธเจ้าทุกทุกพระองค์ พระธรรมเจ้าทุกทุกพระธรรมขันธ์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวกทุกทุกองค์ และปูชนียวัตถุสถานอันเกี่ยวเนื่องกับพระรัตนตรัยและสิ่งมีคุณทุกทุกสิ่งสถาน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๒. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อพระโพธิสัตว์ทุกทุกองค์ และท่านผู้ทรงคุณ ซึ่งกำลังขวนขวายสร้างบารมี อยู่ในเส้นทางเครือข่ายแห่งพุทธะทั้งปวง มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๓. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อบิดามารดาผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย มีการไม่รู้จักสำนึกบุญคุณที่ท่านชุบเลี้ยงมา ดื้อด้านไม่ฟังคำสั่งสอน ต่อล้อต่อเถียงทำให้ท่านเสียใจ ไม่กระทำตามโอวาทที่ท่านสอนสั่ง ไม่ขวนขวายตอบแทนบุญคุณท่าน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๔. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อครูบาอาจารย์ผู้สอนสั่งด้วยหวังดี โอบอ้อมอารีมีพระคุณเกื้อหนุนด้วยเมตตา โดยทำให้ท่านต้องระอา เพราะความดื้อด้านถือตัวหัวแข็ง บ้างก็แข่งดีเข้าใจว่าตัวเองนี้เก่งกล้า ทั้งที่สงวนรักษาความโง่เขลาเบาปัญญาไว้อย่างประคบประหงม ไม่น้อมรับโอวาทที่ท่านเมตตาสอนสั่งด้วยห่วงใย ทำให้ท่านผู้หวังดีต้องคับแค้นแน่นใจ มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๕. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยหักหลัง ทรยศ คดโกง ต่อท่านผู้มีพระคุณ ผู้มีบุญคุณ ต่อท่านผู้มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี จริงใจต่อข้าพเจ้า มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๖. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยลบหลู่ล่วงเกิน ต่อท่านผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี หรือเพราะความเย่อหยิ่งถือดี ยกตนข่มท่าน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๗. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยแสดงความไม่ยำเกรง ต่อจิตวิญญาณ ทั้งในภูมิชั้นสูง ภูมิชั้นกลาง ภูมิชั้นต่ำ ได้เคยล่วงเกินทำร้ายทำลายให้ท่านเดือดร้อน ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๘. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยทำให้ท่านผู้ใกล้ชิดสนิทแน่น ทั้งเป็นญาติมิตรสามีภรรยาลูกหลานเหลนสืบสายโลหิต ต้องคับแค้น ขัดข้อง ผิดหมองใจ โดยการแสดงนิสัยอันธพาลมารโหดร้ายต่อคนใกล้ชิด มองข้ามคนสนิทไปสนใจแต่คนนอก ทำให้ท่านต้องน้อยใจ เสียใจ น้ำตาตก เพราะว่าข้าพเจ้าถือทิฏฐิหยาบกระด้าง เอาแต่ใจและความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๙. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยกระทำไปโดยไม่สมควรแก่ศักดิ์ศรีและฐานะ กระทำไปโดยไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ผิดสัจจะ ผิดศีล ผิดธรรม ไม่ยำเกรงต่อโอวาทของพระศาสดา โดยละเมิดข้อห้าม หรือไม่เอื้อเฟื้อกระทำตามที่พระองค์สั่งสอน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
๑๐. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำการกักขฬะ เหี้ยมโหด เลวร้าย อาฆาต พยาบาท สาปแช่ง จองเวร อิจฉา ริษยา ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ทั้งด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี นินทา กล่าววาจาส่อเสียดยุยงให้แตกสามัคคีกัน ปั้นโยนความผิดให้ผู้อื่นโดยไม่เป็นความจริง หรือพูดจาพล่อย ๆ โดยไม่ยั้งคิดไม่รับผิดชอบ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องลำบากเดือดร้อน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ข้าพเจ้าขอตีแผ่ความจริงใจ ในการยอมรับสำนึกผิดของข้าพเจ้า ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกทุกพระองค์ ได้โปรดเมตตามาเป็นพระประธาน ในการขอขมาลาโทษของข้าพเจ้าในกาลครั้งนี้ด้วยเทอญ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ขอแสดงอาการ ละพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ ขอสำนึกผิดในบาปกรรมที่ทำมา ต่อไปนี้จะตั้งตา ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้ขาวรอบ เชื่อฟังพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เดินตามพระอริยสงฆ์ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ด้วยอำนาจเดชพระเมตตาของพระบรมศาสดาจารย์เจ้า ในวาระโอกาสที่ข้าพเจ้าได้กราบขอขมาลาโทษ ยอมรับสำนึกผิดในกาลครั้งนี้ ขอให้ญาณบารมีของข้าพเจ้า ได้ผุดเกิดใหม่ ภายใต้ร่มธรรมรอยพระพุทธบาท ปกเกล้า ปกเกศ ให้ข้าพเจ้าได้เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข ในเส้นทางธรรมยาตราของพระพุทธองค์ตลอดไป </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ในวาระมงคลโอกาส ที่ข้าพเจ้าได้เกิดใหม่ ภายใต้ร่มพระบารมีธรรมญาณของพระองค์เจ้านี้ ข้าพเจ้าจะพึงแสดงออก ซึ่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยกุศลและเมตตา ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ข้าพเจ้าจะตั้งจิตยำเกรงอย่างแรงกล้า ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรมเจ้า ต่อพระสงฆเจ้า มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีความยินดีในการบริจาคทาน ในการรักษาศีล ในการเจริญภาวนา ในการสร้างบารมี ในการสร้างความดี ในการสร้างกุศลจิต ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เพราะว่าข้าพเจ้าได้มีศรัทธาความเชื่ออย่างแรงกล้า ในเรื่องกฎแห่งกรรม ว่าบุคคลกระทำการสิ่งใด ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ตนเองนั่นแล ที่จะเป็นผู้รับทั้งผลดีและผลชั่ว ไม่ใช่ผู้อื่นจะมาเป็นผู้รับผล ตนเองนั่นแลที่จะเป็นผู้รับผลอย่างเต็มที่ อย่างถี่ถ้วนทุกคดี ไม่ว่าชั่วหรือดี เป็นกฎตายตัว ตลอดกาลนาน จนสิ้นโลก </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ข้าพเจ้าขอตีแผ่ความจริงใจไปตลอดโลกธาตุ ประกาศโทษตน ด้วยความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ข้าพเจ้าจะขวนขวายปรับปรุงตนเป็นคนใหม่ จะเห็นโทษในความชั่วแม้เล็กน้อย แล้วไม่ฝืนกระทำ จะเห็นคุณในความดีแม้เล็กน้อย แล้วขวนขวายกระทำโดยเคารพเอื้อเฟื้อ จะไม่ประมาท ไม่ทอดธุระ ไม่เชือนแช ต่อความดีและคนดีทั้งปวง จะไม่ทำตัวให้คุ้นเคยเป็นสหายใกล้ชิด ต่อความชั่วและคนชั่วทั้งปวง จะขวนขวายคบหากัลยาณมิตรผู้เป็นบัณฑิต เพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ในเส้นทางแห่งการปฏิบัติบูชา ด้วยความยำเกรงอย่างแรงกล้าต่อพระธรรม ไปจนกว่าที่จะถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
พระชุมพล พลปญฺโ เขียนเพื่อเป็นพุทธบูชา ในวันวิสาขบูชา ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
(บทขอขมากรรมสำนึกผิดนี้ ถ้าใครใช้ทุกวันจะช่วยแก้ไขวิบากเวรกรรมให้เบาบางลง และช่วยให้เจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง) </div>
<br />
<div style="text-align: center;">
(ไม่สงวนลิขสิทธิ์)</div>
<span lang="TH">
</span>พิมานอากาศhttp://www.blogger.com/profile/11170903036368393049noreply@blogger.com16