อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
บรรดาประตูเมืองทั้งสี่ทิศนั้น ประตูชัยด้านทิศใต้ นับเป็นประตูเมืองที่สำคัญที่สุด เพราะรับกับถนนโบราณที่ตัดผ่านมาจากเมืองพระนครเป็นสำคัญ ประตูเมืองทุกทิศมีแบบแผนการก่อสร้างที่เหมือนกัน คือมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีทางผ่านตลอดกลางประตู กำแพงสูงประมาณ ๓ เมตร ที่สันกำแพงจะมีร่องยาวสำหรับเสียบบราลีตลอดแนวกำแพง ถัดจากกำแพงศิลาแลง จะเป็นคันดินยาวตลอด ปัจจุบันกำแพงนี้ยังปรากฎร่องรอยให้เห็นเพียงบางส่วนทางทิศใต้ ซึ่งเป็นแนวเดียวกับประตูชัยเท่านั้น
ตั้งอยู่หน้าซุ้มประตูด้านทิศใต้ ที่เชิงบันไดทางขึ้นสะพานนาคตั้งรูปสิงห์ มีขนคอสลักเป็นเสมือนเกราะบนหน้าอก คอยพิทักษ์รักษาศาสนสถานอยู่ ส่วนนาคราวบันไดนั้นเป็นนาค ๗ เศียร เศียรนาคมีกรอบรัศมีประกอบและเป็นรอยหยักเล็กน้อยประดับด้วยลวดลายเป็นเส้นขนานตามทางยาวของรอยหยัก สะพานนาคนี้เป็นเสมือนสะพานทอดเข้าสู่เขาพระสุเมรุอันเป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ลักษณะของสิงห์และนาคนี้คงสลักขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ทำให้ทราบว่า แต่เดิมคงเป็นพลับพลาโปร่งมีเสาขนาดใหญ่เรียงรายกันตลอด เพื่อรองรับส่วนของหลังคาเครื่องไม้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา
ต่อจากสะพานนาคราชเป็นประตูซุ้ม ก่อแบ่งออกเป็น ๓ คูหา คูหาแรกกว้างราว ๖ เมตร ยาวราว ๔ เมตร มีเสารายสลักด้วยศิลาคู่หนึ่ง ด้านข้างมีช่องลมข้างละ ๒ ช่อง ยังมีลูกกรงศิลาเหลืออยู่ คูหากลางกว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๓ เมตร มีเสารายอย่างคูหาแรกข้างละ ๖ ต้น คูหาสุดท้ายที่จะออกไปเป็นลานใหญ่ ทำลักษณะอย่างเดียวกับคูหากลาง ช่องประตูแยกออกเป็นคูหา ทางทิศตะวันตก มีทับหลังศิลาชิ้นหนึ่ง สลักเป็นรูปขบวนแห่พระพุทธรูปนาคปรกที่ประดิษฐานอยู่เหนือคานหามบรรณาลัย
บริเวณใกล้ซุ้มประตูด้านทิศตะวันตก มีซากอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีซากอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง ก่อด้วยหินทรายสีแดงอยู่สองข้าง มีประตูทางทิศใต้ และทิศเหนือด้านละ ๓ ประตู บรรณาลัยด้านทิศใต้ยังคงมีสภาพดีอยู่มาก ผนังอาคารก่อด้วยศิลาแลง เป็นผนังทึบตลอด ส่วนบนเจาะรูรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับใส่หลังคาเครื่องไม้อยู่เป็นระยะ ๆ ภายในอาคารใช้ศิลาทรายสีแดงก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๕ x ๑๕ เมตร มีหน้าต่างอยู่โดยรอบ ไม่มีประตูทางเข้าสู่ภายใน เดิมคงเป็นบรรณาลัยหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องทั้งหลังปรางค์พรหมทัต
เชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ค้นพบประติมากรรมศิลา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ประนมอยู่เหนือพระอุระ (ปัจจุบันได้หักหายไปแล้ว) ชาวบ้านเรียกพระรูปนี้ว่า “ท้าวพรหมทัต” และยังได้ค้นพบรูปสตรีรูปหนึ่ง นั่งคุกพระชานุ ปราศจากเศียรและกรทั้งสองข้างที่ชาวบ้านเรียกว่า “นางอรพินท์” ผู้เป็นมเหสีของท้าวพรหมทัต และรูปสตรีนี้คงหมายถึง พระนางชัยราชเทวี มเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ปรางค์หินแดงและหอพราหมณ์
เป็นโบราณสถานที่มีฐานร่วมกัน ปรางค์หินแดง มีมุขยื่นออกไปทางเข้าทั้งสี่ทิศ มุขด้านทิศเหนือก่อเป็นชาลาเชื่อมกับหอพราหมณ์ เหนือกรอบประตูทางเข้าด้านนี้ มีทับหลังศิลาทรายจำหลักภาพเล่าเรื่องในมหาภารตะตอนกรรณะล่าหมูป่าปรางค์ประธาน
นับเป็นปรางค์ประธานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างด้วยศิลาทรายสีขาวล้วน สูง ๒๘ เมตร มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมขนาด ๒๒ เมตร เป็นที่ตั้งของเรือนธาตุ และแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๘ x ๑๕ เมตร อันเป็นส่วนของมณฑปที่เชื่อมต่อกับเรือนธาตุด้านทิศใต้ ทำให้ปราสาทหินพิมายนี้มีมณฑปแปลกไปกว่าสถาปัตยกรรมแบบเขมรในที่อื่นๆ ที่มักจะมีมณฑปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกทั้งนี้เพื่อให้รับกับแผนผังรวมที่หันไปทางทิศใต้รับกับถนนโบราณที่ตัดตรงมาจากเมืองพระนครของอาณาจักรเขมรคลังเงินหรือธรรมศาลา




0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น