เทวาลัยพิมานอากาศจำลอง

ปราสาทพิมานอากาศ เป็นศิลปะแบบคลัง ฮินดู ไศวนิกาย สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ ๑๕ รัชสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ ๒ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๕ และพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ปลาย ๑๗)

องค์พระนางโสมาสีวิกาเทวะนาคเทวี

พระนางเกิดขึ้นได้จากการที่องค์เทพสามตา ได้เสกด้วยอาคมอันเชิญจิตเทพนาคราชทั้ง ๙ มากำเนิดเป็นนางนาคชื่อ โสมา

พระนามองค์นาคราช และรายละเอียดเฉพาะองค์

ลักษณะเด่นประจำองค์ ฐานันดรศักดิ์ สถานที่ประทับ ฉลองพระองค์ และผู้เกี่ยวข้อง

กว่าจะเป็นเทวาลัย

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลในทีมงาน ผู้ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับองค์พญานาคราชในอดีตชาติตามญานนิมิต และตามประสบการณ์ตรงที่ได้รับของแต่ละบุคคล

เลือดนาคราช

เลือดนาคราช จากการที่ปู่เปิดญาณนาคราชทั้ง 9 ในวันที่ 25/06/55 และปู่ได้ทำน้ำมนต์นี้ขึ้น และปรากฎว่ามีเกร็ดเลือดจากนาคราช ทั้ง 9 ให้ได้เห็นกัน

เทวาลัยพิมานอากาศ ในปัจจุบัน

ปฏิปทา ศรัทธา ของ ทีมงานทุกคน ในการร่วมสร้างเทวาลัยพิมานอากาศ และเพื่อสืบสานศรัทธาในองค์นาคราช ศูนย์รวมนาคราชองค์ที่มีเชื่อสายขอมจะมาสักการะ

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อธิบายสวรรค์ 6 ชั้น และ พรหมโลก 20 ชั้น

อายุของสวรรค์ 6 ชั้น

สวรรค์ เป็นภพที่มีแต่ความสุขอันเลิศล้ำด้วยกามคุณทั้ง ๕ 
(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่น่าใคร่น่าพอใจ) 
เป็นภพของเทวดาหรือทวยเทพทั้งหลาย  
โดยปกติหมายถึงสวรรค์ชั้นกามาพจร 
หรือกามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น 

ซึ่งเรียงลำดับจากชั้นแรกถึงชั้นสูงสุดได้ดังนี้

1. ชั้นจาตุมมหาราชิกา 50 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์
2. ชั้นดาวดึงส์ 100 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 1,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 39 ล้านปีโลกมนุษย์
3. ชั้นยามา 200 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 2,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 144 ล้านปีโลกมนุษย์
4. ชั้นดุสิต 400 ปีมนุษย์ เป็นวัน 1 วัน คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 4,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 576 ล้านปีโลกมนุษย์
5. ชั้นนิมมานรดี 800 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 8,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 2,304 ล้านปีโลกมนุษย์
6. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี 1,600 ปีมนุษย์เป็นวัน 1 คืน 1 ของเขา มีอายุขัย 16,000 ปีทิพย์ เป็นอายุทิพย์เท่ากับ 9,216 ล้านปีโลกมนุษย์เรา

สวรรค์ชั้นที่ 1 จาตุมหาราชิกาภูมิ

สวรรค์ชั้นแรกอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป 46,000 โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ 4พระองค์
ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพมีท้าวจาตุมหาราช ทรงเป็นใหญ่

เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดใด 

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเมืองใหญ่เป็นเทพนครอยุ่ถึง 4 เทพนคร แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ กำแพงทองทิพย์เหลืองอร่ามงามนัก ประดับประดาไปด้วยสัตตรัตนะแก้ว 7 ประการ ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้ว ซึ่งเป็นวิมานที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลายตั้งเรียงรายอยู่มากมาย
นอกจากนี้ ยังมีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยดอกบัวนานาชนิด ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ มีดอกไม้นานาพรรณ สีสันวิจิตรตระการตา และมีรุขชาติต้นไม้สวรรค์ซึ่งมีผลอันโอชายิ่ง

มิ่งไม้ในสวงสวรรค์ มีดอกมีผลเป็นทิพย์ ปรากฏให้เหล่าชาวสวรรค์ได้ชื่นชมตลอดกาลไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา จำแนกย่อยพื้นที่บริเวณของหมู่เทพละเอียดลงไปอีก ตามขั้นตอนการถือกำเนิดเอาไว้  ดังนี้
- อุปัตติเทพ
การถือกำเนิดด้วยการอุบัติขึ้นมา โดยมีกายทิพย์ หรือ กายละเอียด เป็นวัยหนุ่มสาวขึ้นมาทันใดถ้าเป็นเพศชาย เมื่อสร้างบุญไม้มากพอที่จะมีวิมานของตนเองก็จะไปถือกำเนิดเป็นบุตรของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งถ้าเป็นเพศหญิง เมื่อสร้างบุญมาไม่มากพอที่จะมีวิมานของตนเอง ต้องไปถือกำเนิดเป็นบาทบริจาริกาของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งถ้าหญิงหรือชายสร้างบุญไว้น้อยก็จะถือกำเนิดเป็นเทพผู้คอยดูแลในเรื่องเครื่องทรงของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งถ้าสร้างบุญกุศลไว้มากพอ ก็จะอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าของวิมาน พรั่งพร้อมด้วยบริวารและสิ่งของอันเป็นทิพย์
- บาดาล
ภพที่ใกล้มนุษย์มากที่สุด มีลักษณะเป็นงูต่าง ๆ
- ภูมะ
ที่อยู่ของภูมิเจ้าที่ต่าง ๆ
- รุกขภูมิ
ภูมิที่อยู่เหนือหัวเราขึ้นไปเพียงศอกเดียว มีวิมานอยู่บนต้นไม้
- ฉิมพลีภูมิ
ดินแดนแห่งเทพผู้มีปีก กึ่งเทพ กึ่งสัตว์ มีฤทธิ์มาก
- คนธรรพ์ภูมิ
ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก
- หิมพานต์
ดินแดนรอยต่อระหว่างมนุษย์โลกกับเทวโลก
- บรรพภูมิ
ดินแดน แห่งฤาษีผู้บำเพ็ญพรต ที่หลบลี้จากโลกมนุษย์
- อโยธยาภูมิ
ภูมิของผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน เช่น พ่อหลักเมือง
- ลับแลภูมิ
ภูมิของหญิงสาวที่บำเพ็ญเพียร ถือสัจจะเป็นหลัก
- ภุมมา

ที่สถิตของเทพบุตร เทพธิดาต่างๆ ที่ยังมีกิเลศ เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษย์ภูมิขึ้นไปมีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ 4 องค์ ได้แก่

ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองคันธัพพเทวดา
ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอบกุมภัณฑ์เทวดา
ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคเทวดา
ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองยักขเทวดา

มหาราชทั้ง 4 นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือ เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาลมีหน้าที่สอดส่องดูมนุษย์ที่ประกอบผลบุญแล้วรายงานต่อพระอินทร์ เพื่อให้ได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์มีสถานที่ปกครองตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาลเทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวาลภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง 4 เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ แล้ว 50 ปีมนุษย์ เท่ากับ 1วัน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ที่อยู่ของเทวดาเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุ จนกระทั่งพื้นดินที่มนุษย์อยู่ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ในทานสูตรว่า...

ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
"ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา"
"ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทานมีจิตผู้พันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน
มุ่งการสั่งสมทาน ให้ทาน ด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"

สวรรค์ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ภูมิ


อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไป 46,000 โยชน์ 
ดาวดึงส์ หรือ ดาวดึงสา คือ ภูมิอันเป็นที่เกิดของบุคคล 33 คน ที่ได้สร้างกุศลไว้ในอดีต มีมาฆมานพ
เป็นหัวหน้า เมื่อตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ พร้อมบริวารอีก 32 รวมเป็น 33 เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์
ดาวดึงสานี้ เป็นผืนแผ่นดินผืนแรก ที่เกิดขึ้นในโลกหลังจากโลกนี้ถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อน้ำงวดลงแผ่นดินผืนแรกที่โผล่ขึ้นก่อนแผ่นดินอื่น ๆ ก็คือ ยอดเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้เอง
ลักษณะของดาวดึงส์ภูมิ เป็นมหานครใหญ่ อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เหนือเขาสิเนรุราชบรรพต ปรางค์ ปราสาทล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์ แวดล้อมรอบเทวนครด้วยปราการกำแพงแก้วทิพย์ อีกเช่นกันมีประตูกำแพงแก้วถึง 1,000 ประตู เมื่อประตูเหล่านั้นเปิดออกแต่ละครั้ง ปรากฏเสียงดังไพเราะยิ่งนัก
ในท่ามกลางพระนครนั้น มีปราสาทพิมานอันมีชื่อเสียงปรากฏเลื่องลืออยู่วิมานหนึ่ง คือ ไพชยนตปราสาทพิมานมีรูปทรงสูง ประดับไปด้วยแก้ว 7 ประการ งามสุดจะพรรณนา เป็นที่ประทับแห่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช
เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว 100 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


เทวดาที่อยู่ชั้นดาวดึงส์
มีอยู่ 2 จำพวก
- ภุมมัฏฐเทวดา
เทวดา ที่อยู่บนพื้นดิน ได้แก่ พระอินทร์ และ เทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ พร้อมทั้งบริวาร และเทวอสุรา 5 จำพวกที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ


- อากาสัฏฐเทวดา
เทวดา ที่อยู่ในอากาศ ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานลอยไปในกลางอากาศ ตั้งแต่เหนือพื้นดินยอดเขาสิเนรุไปจดขอบจักรวาล บางวิมานก็มีเทวดาอยู่ บางวิมานก็ไม่มีเทวดาอยู่


ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากผลบุญที่ได้กระทำไว้ อารมณ์ที่ได้รับในชั้นดาวดึงส์จึงล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่ดีเลย เทพบุตรจะมีวัย 20 ปี ส่วนเทพธิดามีวัย 16 ปี เหมือนกันทุก ๆ องค์ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย ให้เห็น มีแต่ความสวยงาม เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดไปเทพบุตรองค์หนึ่ง อาจจะมีนางฟ้าเป็นบาทบริจาริกา(ภรรยา) 500-1,000 หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้ทำไว้เทวดาในโลกนี้ มีการไปมาหาสู่ เบียดเบียนกันเช่นเดียวกับมนุษยโลก มีนักดนตรี นักร้อง เทพบุตร เทพธิดามีความรักใคร่ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน หากขาดคู่ครอง ก็ย่อมจะเกิดความเบื่อหน่ายในความเป็นอยู่ของตนไม่เบิกบานรื่นเริงเหมือนเทวดาที่มีคู่ครอง


เทวดาในชั้นดาวดึงส์ทั้งหลาย ต่างก็ไปหาความสุขสำราญในสวนทั้ง 4 แห่งพร้อมด้วยบริวารของตนอย่างสำเริงสำราญ


คุณธรรม 7 ประการ ที่ทำให้เป็นพระอินทร์ผู้ที่ปรารถนาจะเกิดเป็นพระอินทร์ จะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลโดยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีคุณธรรม7 ประการ
1.เลี้ยงดูบิดา มารดา
2.เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
3.กล่าววาจาอ่อนหวาน
4.ไม่กล่าวคำส่อเสียด
5.ไม่มีความตระหนี่
6.มีความซื่อสัตย์
7.ระงับความโกรธได้


ปัจจุบันพระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช องค์นี้ ได้สำเร็จโสดาบันแล้วด้วยการฟังพระธรรมเทศนาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสักกปัณหสูตร นับเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกในพระพุทธศาสนาและอยู่ในดาวดึงส์ภิภพนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย เมื่อจุติจากชั้นดาวดึงส์แล้ว จะมาบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก และสำเร็จเป็นพระสกทาคามีบุคคล เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปกลับไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อีก และได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีเมื่อสิ้นอายุแล้ว จะไปบังเกิดเป็นพรหมโลก ในชั้นสุทธาวาสภูมิขั้นต้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และ อกนิฏฐาภูมิ ตามลำดับ และเข้านิพพาน ในชั้นสุดท้าย


สถานที่สำคัญในดาวดึงส์ภูมิ
สวรรค์ชั้นที่ 2 มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามากมาย ทำให้เกิดเป็นพุทธศาสนสถานที่สำคัญของเทวโลกหลายแห่ง ดังนี้


ศาลาสุธรรมาเทวสภาสถานที่ฟังธรรมในเทวโลก บรรดาเทวดาทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม โดยมีท้าวสักกะเทวราชองค์อมรินทร์เป็นประธานศาลาแห่งนี้ ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 500 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 1,200 โยชน์พื้นที่ประกอบด้วยแก้วผลึก เสาเป็นทองเครื่องบน คือ ขื่อ คาน ระแนง ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 หลังคามุงด้วยอินทนิลเพดาน เสา ประกอบด้วยแก้วประพาฬ ลวดลายต่าง ๆ ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วยเงินตรงกลางศาลา เป็นที่ตั้งธรรมาสน์ สูง 1 โยชน์ ทำด้วยรัตนะทั้ง 7 ปกกั้นด้วยเศวตฉัตรสูง 3 โยชน์ข้างธรรมาสน์ เป็นที่ประทับของท้าวโกสีย์เทวราช ถัดไปเป็นที่ประทับของเทวดาผู้ใหญ่ 32 องค์ และเทวดาอื่น ๆ


ต้นปาริชาต (กัลปพฤกษ์) อยู่ในอุทยานทิพย์ปุณฑริกวัน มีบริเวณกว้างขวาง มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้านกลางสวนนั้นมีต้นไม้ทองหลางใหญ่แผ่สาขาอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งชื่อว่า ต้นปาริชาต หรือ กัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ ต้นกัลปพฤกษ์ นี้ 100 ปี ถึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงคราวนั้น ดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็จะบานสะพรั่งเหล่าเทพบุตร เทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบานเมื่อดอกไม้สวรรค์บานแล้ว จะปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนักรัศมีดอกปาริชาติจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใดย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดปรารถนาจะได้ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือ ดอกก็ยังไม่ทันตกลงดินโดยมีลมชนิดหนึ่ง จะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป


บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แท่นศิลาแก้ว สีแดงดังดอกชบา อ่อนนุ่มดังฟูกเมื่อพระอินทราธิราชประทับพักผ่อนอิริยาบถอยู่เหนือแท่นศิลาอาสน์แล้ว แท่นทิพย์นี้ก็จะอ่อนยุบลงไปและเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะฟูขึ้นเต็มตามเดิมเป็นแท่นศิลาที่ประหลาดมหัศจรรย์ยุบและฟูเองโดยธรรมชาติ


สวนสวรรค์อุทยาทิพย์ที่มีความรื่นรมย์ สนุกสนาน หาที่เปรียบไม่ได้ในมนุษยโลก เต็มไปด้วยบุพผาชาตินานาพรรณมีสระโบกขรณีอันทิพย์ มีน้ำใสดั่งแก้ว มีก้อนศิลาที่เป็นทิพย์ รัศมีรุ่งเรือง มีแท่นที่นั่งอันอ่อนนุ่มสีใสสะอาด เหล่าเทพบุตรเทพธิดา ก็จะมาในสวนสำราญเหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย
อุทยานทิพย์ มีชื่อเสียง 4 อุทยาน ได้แก่
- นันทวันอุทยาน
- จิตรลดาวันอุทยาทิพย์
- มิสกวันอุทยาทิพย์
- ปารุสกวันอุทยานทิพย์


พระเกศจุฬามณีเจดีย์ สร้างด้วยแก้วอินทนิลอันเป็นทิพย์ มีความสวยงามรุ่งเรืองยิ่งนัก ยอดพระเจดีย์เป็นทองคำบริสุทธิ์ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ สูง 80,000 วา มีกำแพงทองคำล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ มีความยาว 160,000 วาประดับด้วยธงนานาชนิด พระเจดีย์นี้เป็นที่บรรจุสิ่งที่มีค่ายิ่ง 2 อย่างคือ 
- พระเกศโมลี ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ มวยผมที่ตัดออก ขณะที่เสด็จออกบรรพชา และได้อธิษฐานว่า
"ถ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไปบนนภากาศเถิอย่าได้ตกลงสู้พื้นปฐพีเลย" ครานั้นสมเด็จพระมหาอมรินทราธิราช ผู้เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นี้จึงนำเอาพระผอบทองมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วนำขึ้นไปบนดาวดึงส์สวรรค์สร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระโมลีโดยเฉพาะ


- พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโทณพราหมณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรสารีริกธาตุได้นำเอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ที่ผ้าโพกศีรษะ แล้วจึงได้จัดพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือออกเป็น 8 ส่วนเพื่อถวายแก่กษัตริย์ต่างๆ ในครั้งนั้นท้าวสักกะเทวราชจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วจากผ้โพกศีรษะของโทณพราหมณ์นั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอดหนึ่งด้วยกิริยาอันเลื่อมใส แล้วรีบเสด็จมาประดิษฐานบรรจุไว้ในพระเกศจุฬามณีเจดีย์นี้


ทางไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สร้างเสบียงไว้นำทางคือ บุญกุศล พยายามทำตนให้เป็นคนดีมีศีลธรรมห้ามตนไม่ให้ทำกรรมอันหยาบช้าลามกอย่าให้บังเกิดความสกปรกแห่งกาย วาจา ใจในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...


"ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่หวังผลบุญของการทำทาน แต่ทำทานโดยคิดว่า การทำทานนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม
เมื่อตายลงย่อไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"


"ดูกร สารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทาน แล้วให้ทาน
ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดีเขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำการกิริยาตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลายในชั้นดาวดึงส์สวรรค์"



สวรรค์ชั้นที่ 3 ยามาภูมิ


ยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ 42,000 โยชน์เป็นภูมิที่สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยความสุขที่เป็นทิพย์ปราศจากความยากลำบากใด ๆ ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์วิมาน และทิพยสมบัติก็ปราณีตมาก

พระสยามเทวธิราช หรือเรียกว่า พระสุยามะ หรือ ท้าวสุยามะเทวราช ผู้มีอายุยืนถึง 2,000 ปีทิพย์เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา

เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นนี้ เรียกว่า ยามา หรือ ยามะ เป็นจำพวกอากาสัฏฐเทวดาจำพวกเดียวเพราะมีวิมานลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่เทวดาที่อยู่ในภูมิสูงขึ้นไปกว่าชั้นนี้ก็ล้วนแต่เป็นอากาสัฏฐเทวดาทั้งสิ้น

เทวดาในชั้นยามาภูมิ ล้วนเป็นผู้มีบุญมาก หน้าตางดงามรุ่งเรืองนัก มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุกเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ตามสมควรแก่อัตภาพ ทิพย์วิมานเป็นปราสาทเงิน ปราสาททอง ปราศจากแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์ และ พระจันทร์ มากมายนักมีความสว่างอันเกิดจากรัศมีแห่งแก้ว และรัศมีจากกายของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ถ้าดอกไม้บานก็จะเป็นกลางวันดอกไม้หุบจะเป็นกลางคืน

เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นยามาภูมิแล้ว 200 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นยามา

ทางไปสวรรค์ชั้นยามา ต้องพยายามสร้างบุญ ต้องเป็นผู้หนักแน่นในการบำเพ็ญบุญ
ในทานสูตร กล่าวไว้ว่า..."ถ้าผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเป็นการทำดี แต่คิดว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายได้เคยทำบุญทำทานมาโดยตลอด เราก็ควรได้ทำตามประเพณีที่ท่านเคยทำมาถ้าผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นยามา"
"ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลยเมื่อถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา"

สวรรค์ชั้นที่ 4 ดุสิตาภูมิ


ห่างไกลจากสวรรค์ชั้นยามาภูมิ ขึ้นไปเบื้องบนประมาณ 42,000 โยชน์ เป็นแดนสุขาวดีเป็นที่สถิตอยู่แห่งปวงเทวดาชาวฟ้าทั้งหลาย ผู้ไม่มีความทุกข์ ปราศจากความร้อนใจ แต่กลับมีแต่ความยินดีและความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์ อีกทั้งยังเป็นภูมิที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก่อนที่จะไปบังเกิดใมนุษยโลก และ บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นที่เกิดของผู้ที่จะเป็นอัครสาวก ก่อนที่จะไปบังเกิดในมนุษยโลกอีกด้วย

ดังนั้นเทวดาที่อยู่ในชั้นดุสิตาภูมินี้ จึงนับว่าเป็นเทวดาที่ประเสริฐกว่าเทวดาในภูมิอื่อน ๆ โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทวาธิบดี

เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิแล้ว 400 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1วันในสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมิ

ดุสิตาภูมิ เป็นเทพนครที่ตั้งกลางนภากาศ มีปราสาทวิมานอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน

- รัตนวิมาน คือ วิมานแก้ว
- สุวรรณวิมาน คือ วิมานทอง
- รชตวิมาน คือ วิมานเงิน

ปราสาทวิมานเหล่านี้ ตั้งอยู่เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม แต่ละวิมานเป็นปราสาททิพย์มีความวิจิตรตระการเหลือที่จะพรรณนา มีรัตนปราการกำแพงแก้วล้อมรอบทุก ๆ วิมานมีรัศมีรุ่งเรืองเลื่อมพรรณราย สวยงามยิ่งกว่าปราสาทวิมานแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสรวงสวรรค์ชั้นยามาภูมิ

เทวสถานชั้นนี้ มีสระโบกขรณี และ สวนขวัญอุทยานทิพย์อีกมากมายสำหรับเป็นที่เที่ยวพักผ่อนให้ได้รับความชื่นบานเริงสราญแห่งเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลาย

ปวงเทพเจ้าทั้งหลาย ผู้เคยได้สร้างกามาวจรกุศลกรรมและผลวิบากแห่งกามาวจรกุศลกรรม ชักนำให้มาอุบัติเกิด ณ โลกสวรรค์ชั้นดุสิตาภูมินี้ แต่ละองค์มีความสง่างามกว่าเหล่าเทวดาชั้นต่ำ ๆ มีจิตใจรู้บุญรู้ธรรมเป็นอย่างดี มีจิตยินดีต่อการที่จะได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก

ทุกวันธรรมสวนะ ปวงเทพเจ้าเหล่าดุสิตาภูมินี้ ย่อมจะมีเทวสันติบาตประชุมฟังธรรมกันอยู่เสมอมิได้ขาดโดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเทพยสภาบดีทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าผู้เป็นพหูสูตเป็นผู้รู้ธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันมาก จึงทรงมีพระอัธยาศัยน้อมไปในการแสดธรรมและสดับตรังฟังพระธรรมเทศนา

ปัจจุบันนี้ สมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรย พระโพธิสัตว์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นที่รู้จักกันในหมูพุทธบริษัทว่า จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอันตรกัปที่ 13 แห่งภัทรกัปนี้พระองค์ก็สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนี้ และมักได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงธรรมโปรดเหล่าเทพบริษัทในดุสิตสวรรค์นี้อยู่เสมอ

ทางไปสวรรค์ชั้นดุสิต

ต้องอุตส่าห์พยายามสร้างบุญกุศล ชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เพื่ออบรมปัญญาให้เจริญผ่องใส
ไม่หวั่นไหวโยกคลอน ในการประกอบกุศล ไม่เป็นผู้มัวเมาประมาทในวัยและชีวิตของตน เร่งสร้างกุศล เช่น บำเพ็ญทาน และรักษาศีลเป็นนิตย์

ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...
"ผู้ใดให้ทานโดยไม่คิดว่าทำตามบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เคยทำมาจนเป็นประเพณีแต่ให้ทานโดยคิดว่าเราหุงหากิน สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่ได้หุงหากิน ถ้าเราไม่ให้ทานก็เป็นสิ่งไม่ควรอย่างยิ่งเมื่อเขาตายลง ก็ย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต"

สวรรค์ชั้นที่ 5 นิมมานรดีเทวภูมิ

เทวภูมินี้ เป็นที่สถิตของปวงเทพเจ้า ผู้มีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณารมณ์ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเอง โดยมีเทพเจ้ามเหศักดิ์ ทรงนามว่า สมเด็จท่านท้าวสุนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดีผู้ปกครอง จึงได้ชื่อว่า นิมมานรดีภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพอันมีสมเด็จพระนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี

ภายในเทพนคร มีปราสาทเงิน ปราสาททอง และปราสาทแก้ว ทั้งมีกำแพงแก้ว กำแพงทอง อันเป็นของทิพย์เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทวดา

นอกจากนั้น พื้นภูมิภาคยังมีสภาวะเป็นทองราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณี และ สวนอุทยานอันเป็นทิพย์สำหรับเป็นที่เที่ยวเล่นสำราญแห่งเหล่าชาวสวรรค์นิมมานรดีทั้งหลายเช่นเดียวกับสมบัติทิพย์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ต่างกันแต่ว่าทุกอย่างที่นี่มีสภาวะสวยสดงดงามกว่าและประณีตกว่าทิพยสมบัติในดุสิตภูมิ

เทพยดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นนี้ มีรูปทรงสวยงามน่าดูชม ยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าทั้งหลายและมีกายทิพย์ ซึ่งมีรัศมีรุ่งเรืองเป็นยิ่งนัก หากเขาเกิดความปรารถนาจะเสวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใดเขาย่อมเนรมิตเอาได้ตามความพอใจชอบใจแห่งตนทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีความขัดข้องและเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใด ๆ เลย ปรองดอง รักใคร่ และได้รับความสุขสำราญชื่นบาน ทุกถ้วนหน้า

ทางไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

ผู้ที่จำอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องเพียรบริจาคทานเป็นอันมาก อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จิตใจบริสุทธิ์รักษาศีลไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองบุญกุศลให้ยิ่งใหญ่ อบรมจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ให้สกปรกลามกมีมลทิน พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล ผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงส่งเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...
"ผู้ใดทำทานโดยไม่คิดว่าเราหุงหากิน แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ได้หุงหากินเราจะไม่ให้ทานก็ไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่ได้คิดว่าเราจะให้ทานเหมือนอย่างฤาษีทั้งหลายที่ได้กระทำมาในอดีต เมื่อตายลงย่อมไปบังเกิดเป็นเทวดา ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี"

สวรรค์ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตีเทวภูมิ

สวรรค์ชั้นสูงสุดของแดนสุขาวดี ตั้งอยู่ในอากาศ ห่างจากนิมมานรดี 42,000 โยชน์ เทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ ทั้งที่เป็นเทพบุตรและเทพธิดา เวลาใดที่ปรารถนาจะเสวยในกามคุณก็มีเทวดาที่รู้ใจเนรมิตให้ เมื่อได้เสวยกามคุณสมความปรารถนาแล้ว สิ่งที่เนรมิตมาก็จะสิ้นไปเทวดาชั้นปรนิตมิตวสวัตตีจึงไม่มีคู่ครองประจำเหมือนเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่น ๆ

วิมาน ทิพยสมบัติ และร่างกาย ของเทวภูมิชั้นนี้มีความสวยงามประณีต มากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดี
มีอายุยาวกว่าประมาณ 4 เท่า ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิ 6

เทวภูมิชั้นนี้ เป็นที่สถิตอยู่ของเหล่าเทพยดาจำพวกมารทั้งหลาย โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช และ
สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทรงเป็นอธิบดี จึงได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ คือภูมิที่อยู่แห่งทวยเทพ

อำนาจปกครองมิได้อยู่แต่เฉพาะเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิเท่านั้นแต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไปถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงอีก 5 ชั้นด้วย คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตนิมมานรดี และมีการปกครองที่แตกต่างจากเทวภูมิอื่น คือแบ่งเป็น 2 แดน อยู่กันฝ่ายละแดนมีเขตแดนกั้นในระหว่างกลาง ต่างฝ่ายต่างอยู่ หากมีกิจจำเป็นจึงจะไปมาหาสู่แก่กัน

แดนเทพยดา มีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพระเทวาธิราชปกครอง
แดนมาร         มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ปกครอง

เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิแล้ว 1,600 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1 วันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวาวัตตี

ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ผู้ที่จะมาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่อบรมจิตใจให้สูงส่งด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีล ก็ต้องบำเพ็ญอย่างจริงจังด้วยศรัทธาอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง และผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้นจึงจะบันดาลให้ไปอุบัติสวรรค์ชั้นนี้ได้

ในทานสูตรกล่าวไว้ว่า...
"ผู้ใดทำทาน โดยไม่ได้คิดว่าทำทานตามฤาษีในอดีตที่เคยทำมา แต่คิดว่าทำทานเพื่อให้จิตเกิดความปลาบปลื้มปิติในบุญที่ทำ เมื่อตายลง ย่อมไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี"




เหนือสวรรค์ 6 ชั้นจะมีต่ออีกภูมิ เรียกว่า พรหมภูมิ หรือ พรหมโลก ถือเป็นดินแดนของพระพรหม ซึ่งเป็นภพภูมิที่สถิตย์อยู่เสวยสุขของพระพรหมผู้อุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก อันเป็นแดนซึ่งมีแต่ความสุขอันเกิดจากฌานเท่านั้น (แบ่งชั้นตามอำนาจฌานที่ได้บรรลุ) ในภพภูมินี้ตามคัมภีร์กล่าวว่าไม่มีความสุขที่เนื่องด้วยกามราคะ

พรหมภูมิอาจแบ่งออกเป็น 2 พวก ได้แก่ รูปพรหม และ อรูปพรหม



รูปพรหม

รูปพรหม หรือ รูปาวจรภูมิ คือ ชั้นที่พระพรหมผู้วิเศษมีรูป หากแต่เป็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ มองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยวิสัยเท่านั้น ประกอบด้วยวิมาน 16 ชั้น

สามชั้นแรก รวมเรียกว่า ปฐมฌานภูมิ ด้วยพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยปฐมฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต

ชั้นที่ 4 - ชั้นที่ 6 รวมเรียกว่า ทุติยฌานภูมิ ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยทุติยฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต

ชั้นที่ 7 - ชั้นที่ 9 รวมเรียกว่า ตติยฌานภูมิ ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยตติยฌาน ทั้งสามชั้นนี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต

ตั้งแต่ชั้นที่ 10 ขึ้นไป รวมเรียกว่า จตุตถฌานภูมิ ด้วยเหล่าพระพรหมในชั้นนี้บรรลุด้วยจตุตถฌาน ชั้นที่ 10-11 ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะห่างไกลกันมาก

หากแต่เฉพาะเหล่าพระพรหมในชั้นที่ 12 – 16 เรียกว่า ปัญจสุทธาวาส หรือ สุทธาวาสภูมิ อันเป็นชั้นที่เหล่าพระพรหมในชั้นนี้ ต้องเป็นพระพรหมอริยบุคคลในพุทธศาสนา ระดับอนาคามีอริยบุคคล เท่านั้น ต่างจาก 11 ชั้นแรก แม้พระพรหมทั้งหลายจะได้สำเร็จฌานวิเศษเพียงใด ก็อุบัติในสุทธาวาสภูมิไม่ได้อย่างเด็ดขาด สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ 5 ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิไม่ตั้งในระดับเดียวกันเช่นชั้นแรกๆที่ผ่านมา

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นบริวารแห่งท้าวมหาพรหม พรหมโลกชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรก เป็นพรหมชั้นล่างสุด ตั้งอยู่เบื้องบนสูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ คือไกลจากมนุษยโลกจนไม่สามารถนับได้ ซึ่งหากเอาก้อนศิลาขนาดเท่าปราสาทเหล็ก (โลหปราสาท) ทิ้งลงมาจากชั้นนี้ ยังใช้เวลาถึง 4 เดือนจึงจะตกถึงแผ่นดิน พระพรหมในที่นี้มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้วทั้งสิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย มีอายุแห่งพรหมประมาณส่วนที่ 3 แห่งมหากัป (1 ใน 3 แห่งมหากัป)

ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้เป็นปุโรหิต (อาจารย์ใหญ่) ของท้าวมหาพรหม พรหมโลกชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้ทรงฐานะประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม ความเป็นอยู่ทุกอย่างล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหมโลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่า สวยงามกว่า พรหมทุกท่านล้วนมีคุณวิเศษ ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณครึ่งมหากัป

ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ยิ่งใหญ่ พรหมโลกชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ ที่อยู่แห่งท่านพระพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูปกายประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีก ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุปฐมฌานขั้น ปณีตะคือขั้นสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 1 มหากัป

ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีน้อยกว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าตน พรหมโลกชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน ได้เจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 2 มหากัป

ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีรุ่งเรืองหาประมาณมิได้ พรหมโลกชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้ เคยเจริญภาวนาการบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 4 มหากัป

ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีเป็นประกายรุ่งเรือง พรหมโลกชั้นที่ 6 อาภัสสราภูมิ เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 8 มหากัป

ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีสง่างามน้อยกว่าชั้นพรหมที่สูงกว่าตน พรหมโลกชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมในพรหมโลกที่สูงกว่าตนนั่นเอง ได้เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16 มหากัป

ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้รัศมีสง่างามหาประมาณมิได้ พรหมโลกชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ สง่าสวยงามแห่งรัศมีซึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 32 มหากัป

ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีรัศมีสง่างามสุกปลั่งทั่วสรรพางค์กาย พรหมโลกชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ ที่อยู่ของพระพรหม ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมี ที่ออกสลับ ปะปนกันอยู่เสมอเป็นนิตย์ ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศนาได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 64 มหากัป

ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้รับผลแห่งฌานอันไพบูลย์ พรหมโลกชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 500 มหากัป อนึ่งผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก 9 ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่า มีผลไพบูลย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาวธรรมที่เป็นจริง ดังต่อไปนี้

เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยไฟนั้น พรหมภูมิ 4 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยน้ำนั้น พรหมภูมิ 6 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยลมนั้น พรหมภูมิทั้ง 9 ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปไม่มีเหลือเลย

ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้หาสัญญามิได้ (คือมีแต่รูป) พรหมโลกชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพระพรหมผู้อุบัติเกิดด้วยอำนาจแห่งสัญญาวิราคภาวนา เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จจตุตถฌาน อันเป็นรูปฌานขั้นสูงสุดสถิตย์อยู่ในปราสาท แก้ววิมานอันมโหฬารกว้างขวาง มีบุปผชาติประดับประดาเรียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว มีหน้าตาสวยสง่าอุปมากังรูปพระปฏิมากรพุทธรูปทองคำขัดสี แต่มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไหวจักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เสวยสุขเป็นประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาล มีอายุแห่งพรหมประมาณ 500 มหากัป

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติแห่งตน สูงขึ้นไปจากอสัญญีสัตตาภูมิประมาณ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลที่ไม่ละทิ้งสมบัติ เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู่ในจิตสันดานน้อยมาก ด้วยได้เคยเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้วมีปกติเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลจะสถิตย์อยู่จนอายุครบกำหนด ไม่จุติเสียก่อน ต่างจากพระพรหมในสุทธาวาสภูมิที่เหลืออยู่อีก 4 ภูมิ คือพระพรหมในอีก 4 สุทธาวาสภูมิที่เหลือ ซึ่งอาจมีการจุติหรือนิพพานเสียก่อนอายุครบกำหนด มีอายุแห่งพรหมประมาณ 1000 มหากัป

ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี ผู้ละซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสมอ นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ฉะนั้นจิตใจของท่านเหล่านั้นจึงมีแต่สงบเยือกเย็นได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิริยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 2000 มหากัป

ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีความเห็น (สภาวธรรม) อย่างแจ่มแจ้ง สูงขึ้นไปต่อจากอตัปปาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี ผู้มีความแจ่มใส สามารถเห็นสภาวธรรมได้โดยแจ้งชัดเพราะบริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจักษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ่มใส ชัดเจน ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสตินทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 4000 มหากัป

ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้มีความเห็น (สภาวธรรม) อย่างแจ่มแจ้งยิ่ง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า มีประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ทั้ง 3 นี้มีกำลังแก่ กล้ากว่าพระพรหมในสุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นในสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ่มใสยิ่ง ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล และในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น มีอายุแห่งพรหมประมาณ 8000 มหากัป

ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ
ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ทรงคุณพิเศษไม่มีใครเป็นรอง สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ เป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีวาสนาบารมี มีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนาโดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดในอกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้งสุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้ว มีอายุแห่งพรหมประมาณ 16000 มหากัป

พรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์สำคัญ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนา องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์ ซึ่งเป็นที่บรรจุผ้าขาวของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเสด็จออกผนวช โดยพระพรหมทั้งหลายได้นำบริขารและไตรจีวรลงมาถวาย และพระองค์ได้ถอดผ้าขาวที่ทรงอยู่ยื่นให้ พระพรหมจึงรับเอาและนำมาบรรจุไว้ยังเจดีย์ที่นฤมิตขึ้นนี้ และเป็นที่สักการบูชาของพระพรหมทั้งหลายในปัจจุบัน

พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง 4 หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน พอสิ้นพรหมายุขัย ก็ต้องจุติจากสุทธาวาสพรหมภูมิที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติในชั้นที่ 16 นี้ เพื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานโดยทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมินี้ เป็นพรหมภูมิที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด

อรูปพรหม

อรูปพรหม หรือ อรูปาวจรภูมิ สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา บรรดาโยคี ฤๅษี ชีไพรดาบส ที่บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา รำพึงว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย ปรารถนาอยู่แต่ในความไม่มีรูป

อรูปภูมิมี 4 ชั้น คือ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ และ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมในชั้นนี้ไม่มีรูปร่าง มีแต่จิตเจตสิก เพราะเห็นว่าหากมีร่างกายอยู่นั้นจะมีแต่โทษ อาจจะไปทำร้ายซึ่งกันและกันได้ จึงบริกรรมด้วยความว่างเปล่า ยึดเอาอากาศซึ่งเป็นความว่างเปล่าเป็นอารมณ์ จนได้ฌานที่มีอากาศเป็นอารมณ์เรียกว่า อากาสานัญจายตนภูมิ ซึ่งมีอายุอยู่ได้สองหมื่นกัปป์ จากนั้นก็อาจภาวนาเพื่อจะได้ไปอยู่ในพรหมโลกขั้นสูงต่อไปอีกได้ อายุของพรหมเหล่านี้จะยืนอยู่ได้สี่หมื่น หกหมื่น และแปดหมื่นสี่พันกัปป์ ตามลำดับ

ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ
ชั้นที่ทรงอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึดเอา อากาศ เป็นอารมณ์ เป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติ ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 20000 มหากัป

ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ
ชั้นที่ทรงภาวะวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึด วิญญาณ เป็นอารมณ์ พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ เป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป และปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตนวิบากจิต มีอายุแห่งพรหมประมาณ 40000 มหากัป

ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ทรงภาวะไม่มีอะไรเลย ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้ยึดเอาความไม่มีอะไรเลย เป็นอารมณ์ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป และปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตนวิบากจิตพ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 60000 มหากัป

ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ทรงภาวะที่มีสัญญาไม่ปรากฏชัด ที่สถิตแห่งพระพรหมผู้ได้เข้าถึงภาวะมี สัญญา ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่ง พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ 4 มาแล้ว มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิตทั้ง อยู่พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ มีอายุแห่งพรหมประมาณ 84000 มหากัป

ขอขอบคุณที่มา:

พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก และ บทขอขมากรรมสำนึกผิด



พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก 

(นะโม 3 จบ)

พุทธังอาราธนานัง  พระพุทธเจ้าเปิดโลก
ธัมมังอาราธนานัง  พระธรรมเจ้าเปิดโลก
    สังฆังอาราธนานัง  พระสังฆเจ้าเปิดโลก

นะเปิดบุญ โมเปิดบารมี พุทธเปิดวาสนา ธาเปิดจิต ยะเปิดธรรม
เปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล เปิดด้วยนะโมพุทธายะ

ยะเปิดการณ์ดี ธาเปิดงานดี พุทธเปิดโชคดี โมเปิดลาภดี นะเปิดอำนาจดี
เปิดสิ่งดีๆทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้าฯ  ด้วยยะธาพุทโมนะ
นะมะพะทะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ขออำนาจบารมีขององค์พระศรีรัตนตรัย โปรดเชื่อมโยงบุญบารมี วาสนาบารมี ฌาณบารมีทั้งหลายทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า จงมารวมกัน ณ ปัจจุบันชาตินี้ และขอเบิกบุญบารมีทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้  เปิดโลก  เปิดจิต เปิดธรรม เปิดด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ 

พุทธังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ
ธัมมังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ
 
สังฆังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ
*สะหัส สะเนตรโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ*

พุทธังประสิทธิ มหาประสิทธิ ธัมมังประสิทธิมหาประสิทธิ สังฆังประสิทธิมหาประสิทธิ



=============================================

บทขอขมากรรมสำนึกผิด

ด้วยเดชะ พุทธบารมี ธัมมบารมี สังฆบารมี ข้าพเจ้าจะขอน้อมอัญเชิญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทวดาทั้งหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล มาเป็นพยานในการขอขมาลาโทษ ขออโหสิกรรม สำนึกผิด ตั้งจิตใหม่ ของข้าพเจ้า ในกาลบัดนี้ด้วยเทอญ

ข้าพเจ้าจะขอตั้งความใฝ่ดี ความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ไว้เป็นเบื้องหน้า จะกราบแทบเท้าขอขมา ขอลาโทษ กระทำคืนความผิดของตน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ข้าพเจ้าจะขอตั้งความใฝ่ดี ความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ไว้เป็นเบื้องหน้า จะกราบแทบเท้าขอขมา ขอลาโทษ กระทำคืนความผิดของตน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนี้

๑. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อพระพุทธเจ้าทุกทุกพระองค์ พระธรรมเจ้าทุกทุกพระธรรมขันธ์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวกทุกทุกองค์ และปูชนียวัตถุสถานอันเกี่ยวเนื่องกับพระรัตนตรัยและสิ่งมีคุณทุกทุกสิ่งสถาน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๒. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อพระโพธิสัตว์ทุกทุกองค์ และท่านผู้ทรงคุณ ซึ่งกำลังขวนขวายสร้างบารมี อยู่ในเส้นทางเครือข่ายแห่งพุทธะทั้งปวง มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๓. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อบิดามารดาผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย มีการไม่รู้จักสำนึกบุญคุณที่ท่านชุบเลี้ยงมา ดื้อด้านไม่ฟังคำสั่งสอน ต่อล้อต่อเถียงทำให้ท่านเสียใจ ไม่กระทำตามโอวาทที่ท่านสอนสั่ง ไม่ขวนขวายตอบแทนบุญคุณท่าน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๔. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกิน ต่อครูบาอาจารย์ผู้สอนสั่งด้วยหวังดี โอบอ้อมอารีมีพระคุณเกื้อหนุนด้วยเมตตา โดยทำให้ท่านต้องระอา เพราะความดื้อด้านถือตัวหัวแข็ง บ้างก็แข่งดีเข้าใจว่าตัวเองนี้เก่งกล้า ทั้งที่สงวนรักษาความโง่เขลาเบาปัญญาไว้อย่างประคบประหงม ไม่น้อมรับโอวาทที่ท่านเมตตาสอนสั่งด้วยห่วงใย ทำให้ท่านผู้หวังดีต้องคับแค้นแน่นใจ มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๕. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยหักหลัง ทรยศ คดโกง ต่อท่านผู้มีพระคุณ ผู้มีบุญคุณ ต่อท่านผู้มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี จริงใจต่อข้าพเจ้า มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๖. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยลบหลู่ล่วงเกิน ต่อท่านผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี หรือเพราะความเย่อหยิ่งถือดี ยกตนข่มท่าน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๗. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยแสดงความไม่ยำเกรง ต่อจิตวิญญาณ ทั้งในภูมิชั้นสูง ภูมิชั้นกลาง ภูมิชั้นต่ำ ได้เคยล่วงเกินทำร้ายทำลายให้ท่านเดือดร้อน ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๘. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยทำให้ท่านผู้ใกล้ชิดสนิทแน่น ทั้งเป็นญาติมิตรสามีภรรยาลูกหลานเหลนสืบสายโลหิต ต้องคับแค้น ขัดข้อง ผิดหมองใจ โดยการแสดงนิสัยอันธพาลมารโหดร้ายต่อคนใกล้ชิด มองข้ามคนสนิทไปสนใจแต่คนนอก ทำให้ท่านต้องน้อยใจ เสียใจ น้ำตาตก เพราะว่าข้าพเจ้าถือทิฏฐิหยาบกระด้าง เอาแต่ใจและความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๙. สิ่งใดที่ข้าพเจ้า ได้เคยกระทำไปโดยไม่สมควรแก่ศักดิ์ศรีและฐานะ กระทำไปโดยไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ผิดสัจจะ ผิดศีล ผิดธรรม ไม่ยำเกรงต่อโอวาทของพระศาสดา โดยละเมิดข้อห้าม หรือไม่เอื้อเฟื้อกระทำตามที่พระองค์สั่งสอน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

๑๐. สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำการกักขฬะ เหี้ยมโหด เลวร้าย อาฆาต พยาบาท สาปแช่ง จองเวร อิจฉา ริษยา ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ทั้งด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี นินทา กล่าววาจาส่อเสียดยุยงให้แตกสามัคคีกัน ปั้นโยนความผิดให้ผู้อื่นโดยไม่เป็นความจริง หรือพูดจาพล่อย ๆ โดยไม่ยั้งคิดไม่รับผิดชอบ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องลำบากเดือดร้อน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ข้าพเจ้าขอตีแผ่ความจริงใจ ในการยอมรับสำนึกผิดของข้าพเจ้า ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล

ขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกทุกพระองค์ ได้โปรดเมตตามาเป็นพระประธาน ในการขอขมาลาโทษของข้าพเจ้าในกาลครั้งนี้ด้วยเทอญ

ขอแสดงอาการ ละพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ ขอสำนึกผิดในบาปกรรมที่ทำมา ต่อไปนี้จะตั้งตา ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้ขาวรอบ เชื่อฟังพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เดินตามพระอริยสงฆ์

ด้วยอำนาจเดชพระเมตตาของพระบรมศาสดาจารย์เจ้า ในวาระโอกาสที่ข้าพเจ้าได้กราบขอขมาลาโทษ ยอมรับสำนึกผิดในกาลครั้งนี้ ขอให้ญาณบารมีของข้าพเจ้า ได้ผุดเกิดใหม่ ภายใต้ร่มธรรมรอยพระพุทธบาท ปกเกล้า ปกเกศ ให้ข้าพเจ้าได้เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข ในเส้นทางธรรมยาตราของพระพุทธองค์ตลอดไป

ในวาระมงคลโอกาส ที่ข้าพเจ้าได้เกิดใหม่ ภายใต้ร่มพระบารมีธรรมญาณของพระองค์เจ้านี้ ข้าพเจ้าจะพึงแสดงออก ซึ่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยกุศลและเมตตา ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ข้าพเจ้าจะตั้งจิตยำเกรงอย่างแรงกล้า ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรมเจ้า ต่อพระสงฆเจ้า มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีความยินดีในการบริจาคทาน ในการรักษาศีล ในการเจริญภาวนา ในการสร้างบารมี ในการสร้างความดี ในการสร้างกุศลจิต ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ

เพราะว่าข้าพเจ้าได้มีศรัทธาความเชื่ออย่างแรงกล้า ในเรื่องกฎแห่งกรรม ว่าบุคคลกระทำการสิ่งใด ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ตนเองนั่นแล ที่จะเป็นผู้รับทั้งผลดีและผลชั่ว ไม่ใช่ผู้อื่นจะมาเป็นผู้รับผล ตนเองนั่นแลที่จะเป็นผู้รับผลอย่างเต็มที่ อย่างถี่ถ้วนทุกคดี ไม่ว่าชั่วหรือดี เป็นกฎตายตัว ตลอดกาลนาน จนสิ้นโลก

ข้าพเจ้าขอตีแผ่ความจริงใจไปตลอดโลกธาตุ ประกาศโทษตน ด้วยความละอายต่อบาป และความเกรงกลัวต่อบาป ข้าพเจ้าจะขวนขวายปรับปรุงตนเป็นคนใหม่ จะเห็นโทษในความชั่วแม้เล็กน้อย แล้วไม่ฝืนกระทำ จะเห็นคุณในความดีแม้เล็กน้อย แล้วขวนขวายกระทำโดยเคารพเอื้อเฟื้อ จะไม่ประมาท ไม่ทอดธุระ ไม่เชือนแช ต่อความดีและคนดีทั้งปวง จะไม่ทำตัวให้คุ้นเคยเป็นสหายใกล้ชิด ต่อความชั่วและคนชั่วทั้งปวง จะขวนขวายคบหากัลยาณมิตรผู้เป็นบัณฑิต เพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ในเส้นทางแห่งการปฏิบัติบูชา ด้วยความยำเกรงอย่างแรงกล้าต่อพระธรรม ไปจนกว่าที่จะถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ

พระชุมพล พลปญฺโ เขียนเพื่อเป็นพุทธบูชา ในวันวิสาขบูชา ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓

(บทขอขมากรรมสำนึกผิดนี้ ถ้าใครใช้ทุกวันจะช่วยแก้ไขวิบากเวรกรรมให้เบาบางลง และช่วยให้เจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง)

(ไม่สงวนลิขสิทธิ์)

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม


พระธาตุพนมบรมเจดีย์ ศรีบรมธาตุแห่งอีสานทิศ
โดย รณธรรม ธาราพันธุ์




อ่าน: พระนามองค์นาคราช และรายละเอียดเฉพาะองค์ ได้ที่
     อันพระเจดีย์ใหญ่-น้อยซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของเหล่าเทพดาและมนุษย์ทั้งหลายในสยามนั้นมีจำนวนมากมายหลายแห่งนัก  ทั้งที่มาแห่งการสถาปนาก็แปลกต่างกัน  ซึ่งโดยมากแล้วย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระมหากษัตริย์และสิ่งลึกลับที่ทรงอำนาจเหนือสามัญชน
     พระธาตุพนม  เป็นอุทเทสิกเจดีย์สถานอีกแห่งหนึ่งที่ผูกศรัทธาของพี่น้องชาวอีสานกับทั้งประชาชนทั่วประเทศผู้ถือพระพุทธศาสนาไว้ในหัวใจได้แน่นเหนียวนักค่าที่เป็นปฐมแห่งบรมเจดีย์ในสุวรรณภูมิ
     ในหนังสือเรียนระบุว่า   พระปฐมเจดีย์   เป็นหลักชัยแห่งแรกในประเทศที่ถูกสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการ   "เข็นล้อธรรม"   ประกาศพระศาสนาที่แรกในแหลมทองนี้  โดยอาศัยเหตุจาก   พระโสณะเถระ  และ   พระอุตตระเถระ   เป็นต้นเค้าศรัทธา
          นั่นเรื่องของปริยัติ
     หากในทางปฏิบัติ  หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม   วัดป่าโคกมน  อ.วังสะพุง  จ.เลย  ได้กล่าวหนักแน่นเมื่อครั้งไปสักการะพระธาตุพนมว่า   พระธาตุพนมนี้เป็นเจดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยหรือแคว้นสุวรรณภูมิเรานี่แหละ  ยังเมตตาเล่าอีกว่าที่ท่านได้บวชแต่น้อยจนใหญ่และปฏิบัติจน   "ข้ามทะเลทุกข์"   ได้นี่ก็เพราะ...
          “เอาผ้าขาววาหนึ่ง  กับเงินบาทหนึ่งมาทานตอนสร้างพระธาตุพนม  แล้วอธิษฐานขอให้พ้นทุกข์
          โอ้ !  อานิสงส์หลายแท้
     ครูบาอาจารย์จึงสอนนักว่า  อย่าประมาทกับความดีที่ทำว่าเพียงน้อยนิดและอย่าประมาทกับความชั่วว่าเล็กน้อยไม่น่าจะให้ผลน้อย ๆ หลายหนเข้าก็เยอะ
     พระธาตุพนม   ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 8  โดยพระมหากัสสปะเถรพร้อมทั้งพระอรหันต์ล้วนอีก  500  รูป  อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหัวอกหรือ   พระอุรังคธาตุ   มาจากชมพูทวีป(ประเทศอินเดีย) เพื่อประดิษฐานไว้ยังมงคลปเทสอันปัจจุบันคือพระธาตุพนม
     เนื่องจากพระมหากัสสปะเถรเป็นพระอรหันตเจ้าที่พระบรมศาสดาทรงยกย่องเป็นยิ่งในทุกด้านทุกทาง    กระทั่งพระองค์ทรงแลกผ้าสังฆาฏิกับพระมหากัสสปะและตรัสเรียกเสมอว่า     กัสสปะผู้เป็นบุตรของเรา
     ครั้งพระศาสดาเสด็จสู่มหาปรินิพพาน  พระสาวกทั้งหลายและกษัตริย์ทุกเมืองไม่อาจจุดไฟถวายพระเพลิงแก่พระบรมศพได้  กระทั่งพระมหากัสสปะธุดงค์ออกจากป่ามาถึง  ครั้นก้มลงกราบพระสรีระที่ปลายพระบาทก็ปรากฏอัศจรรย์  พระบาททั้งสองได้ยื่นออกจากผ้ากัมพลที่ห่อพระบรมศพไว้ถึง  500  ชั้นทะลุผ่านพระหีบทองทึบให้พระมหากัสสปะได้กราบซบลง
          จากนั้นเตโชธาตุก็ลุกโพลง
     แผดเผาพุทธสรีระอยู่  7  วันจนหมดสิ้นคงเหลือแต่พระอัฐิธาตุ  7  ชิ้นที่ไฟไม่อาจทำลายได้คือ  พระอุณหิส(กระดูกกระหม่อม)  1  พระเขี้ยวแก้ว(ฟันส่วนเขี้ยว) ทั้ง  4    พระรากขวัญ(กระดูกไหปลาร้า) ทั้ง  2     
นอกนั้นแตกย่อยลงอย่างใหญ่สุดมีสัณฐานเท่าเมล็ดถั่วแตก  อย่างกลางเท่าเมล็ดข้าวสาร  อย่างเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด  รวมกันตวงได้  16  ทะนาน  จากนั้นโทณพราหมณ์ผู้ได้รับการตั้งให้เป็นคนแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุได้ทำการ   แฮป   เอาพระทาฒธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาซี่บนไว้เป็นสมบัติตัวโดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะ
     ปรากฏว่าพระอินทร์ส่องทิพยเนตรมาดูเห็นความไม่ซื่อของโทณพราหมณ์ก็คิดว่า  ตาพราหมณ์นี้ไม่บังควรได้ของดีวิเศษเป็นเลิศประเสริฐในโลกเช่นนี้ไป  ด้วยไม่อาจทำสักการวิธีอันสมควรแก่พระบรมธาตุได้  จึงตัดสินใจลงจากดาวดึงส์เทวโลกมา   ขมาย    คือแฮปต่ออีกทีหนึ่งไปประดิษฐานไว้ยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
     ส่วนพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาซี่ล่างถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่เมืองกลิงคราฐและปัจจุบันไปอยู่ลังกาทวีป  (เมืองแคนดี้ในประเทศศรีลังกา)  พระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้ายซี่บนประดิษฐานที่เมืองคันธารราฐ (แถบตะวันออกกลางแถวเมืองบามิยัน)  พระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้ายซี่ล่างประดิษฐานอยู่    นาคพิภพ 
 พระรากขวัญเบื้องขวาองค์อัมรินทราธิราชและหมู่เทพดามาอัญเชิญไปไว้ยังพระเกศแก้วจุฬามณีคู่กับพระเขี้ยวแก้วในเทวโลก  พระรากขวัญเบื้องซ้ายกับพระอุณหิสท้าวฆฏิการพรหมมาอัญเชิญไปประดิษฐานยังพระมหาทุสเจดีย์ในพรหมโลก
     ย้อนกล่าวถึงพระมหากัสสปะเถรผู้เป็นพุทธบุตร  เมื่อกราบคารวะพระบรมศพแล้วก็เกิดปาฏิหาริย์คือพระอุรังคธาตุได้เสด็จออกจากพระหีบทองมาสู่ฝ่ามือขวาก่อนเตโชธาตุจะลุกเปลว ท่านจึงดำเนินการตามพุทธดำรัสก่อนปรินิพพานคือให้นำพระอุรังคธาตุไปประดิษฐานไว้    ดอยกปณคีรี  เมืองศรีโคตบูรณ์
     ดังนั้น  พระมหากัสสปะผู้รัตตัญญูจึงชักชวนพระอรหันต์อีก  500  รูปกระทำอิทธิฤทธิ์โดยเหาะจากชมพูทวีปมายังเมืองศรีโคตบูรณ์    ครั้งนั้นประดาเจ้าเมืองที่ได้สดับข่าวเกี่ยวกับพุทธปรินิพพานแม้จะเศร้าโศกโทมนัส  ก็มีใจเบิกบานนักที่พระพุทธเจ้าสั่งความไว้ว่า   ให้นำพระบรมธาตุมาประดิษฐานยังแว่นแคว้นของตน
     เจ้าเมืองใหญ่คือ  พญาสุวรรณภิงคาร  ได้ประกาศข่าวบุญให้เจ้าเมืองอีก  4  บุรี  มาร่วมบุณย์  ประกอบด้วย  พญาจุลณีพรหมทัต  พญาอินทปัฐนคร  พญาคำแดง  และ  พญานันทเสน เมื่อพญาทั้งห้ามาพร้อมพรักประกอบด้วยไพร่พลและข้าวของก็ทำการก่ออุโมงค์บรรจุพระอุรังคธาตุกับทั้งแก้วแหวนเงินทองสิ่งของมีค่าเครื่องแห่งพุทธบูชาเข้าไว้ในนั้น  รายละเอียดการสร้างคงต้องของดไว้ไม่กล่าวถึงด้วยจะยืดยาวเกินไป
     ครั้นอุโมงค์ประดิษฐานพระธาตุแล้วเสร็จ  พระมหากัสสปะเถรและพระอรหันต์  500  รูป  จึงได้กล่าวลาพญาทั้งห้า  กระทำประทักษิณรอบอุโมงค์ถ้วน  3  รอบก็พากันเสด็จกลับกรุงราชคฤห์โดยทางอากาศ    เพื่อเตรียมกระทำปฐมสังคายนาต่อไป
     เนื่องจากพระธาตุพนมถูกสร้างขึ้นแต่ปี พ.ศ. 8  จึงเป็นธรรมดาที่จะเสื่อมโทรมลงตามกฏธรรมดาโลก  และได้มีคณะพุทธบริษัทเข้าปฏิสังขรณ์อุโมงค์พระธาตุหลายคราว  หากการบูรณะที่เป็นครั้งใหญ่อย่างแข็งแรงสวยงามมั่นคงนั้น  คงนับได้  3  วาระด้วยกัน คือ...

วาระที่  1  ปี พ.ศ. 500  พญาสุมิตตธรรมวงศา ได้กราบอาราธนาพระอรหันต์  5  รูปร่วมกันปฏิสังขรณ์โดยก่อเพิ่มจากอุโมงค์เป็นรูปเตาให้สูงขึ้นกว่าเดิม  แต่ในบันทึกมิได้บอกว่าก่อขึ้นไปสูงเท่าใด  ทราบเพียงว่าต่อเติมจากอุโมงค์เป็นพลาญชั้นที่  1  และชั้นที่  2  ซึ่งปัจจุบันวัดดูได้ความสูงประมาณ  14  เมตร บูรณะคราวนี้พญาสุมิตตธรรมวงศาได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุออกมาประดิษฐานไว้บนพานทองคำ  ท่านอมรฤาษีและท่านโยธิกฤาษี  ไปเอาเจดีย์ศิลาซึ่งเดิมอยู่บนยอดเขาภูเพ็ก (ต.นาหัวบ่อ  อ.พรรณานิคม  จ.สกลนคร-ปัจจุบัน)  มาตั้งไว้บนชั้นสองขององค์พระธาตุและพญาสุมิตตธรรมวงศาก็ได้อัญเชิญพระบรมธาตุบรรจุไว้ในเจดีย์ศิลานั้น  เหล่าเสนามหาอำมาตย์ก็นำพระพุทธรูปทองคำและเงิน  กับพระอรหันตธาตุพร้อมอัญมณีมีค่านานัปการบรรจุไว้ตามมุมแห่งเจดีย์นั้น จะว่าตำนานไม่เป็นความจริงเสมอไปก็มิได้  เพราะเมื่อทำการพิสูจน์ที่ยอดเขาภูเพ็กในเขตจังหวัดสกลนคร  ก็พบกับแท่งศิลาเนื้อเดียวกัน  ชนิดเดียวกัน  สีเดียวกันนี่เองอยู่    จุดอันเป็นที่ตั้งเจดีย์ศิลาเดิมดังที่เล่าไว้ในตำนานไม่ผิดเพี้ยน  เป็นแต่แท่งศิลานี้ใหญ่กว่าเล็กน้อย   ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ในบันทึกผ่านไปแล้วร่วมสองพันกว่าปี 

วาระที่  2    ปี พ.ศ. 2233-2235  องค์พระธาตุได้รับการบูรณะหนใหญ่อีกด้วยบารมีของ  ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก  แห่ง  วัดโพนสะเม็ก  เมืองเวียงจันทน์  โดยท่านได้ต่อยอดก่ออิฐเพิ่มเติมจากชั้นสองขององค์ธาตุขึ้นไปอีกรวมสูง  47  เมตร   เชื่อกันว่าท่านเจ้าราชครูได้พบกับพระอุรังคธาตุและประกอบพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุอีกวาระเนื่องจากเราได้พบแผ่นทองคำ  3  แผ่นจารึกอักษรลาวโบราณและอักษรขอมเล่าถึงเหตุการณ์ที่บูรณะทั้งวันเดือนปีพร้อมสรรพ  และยังค้นพบพระพุทธรูปทองคำ-เงิน  กับอัญมณีต่าง ๆ ซึ่งสร้างในสมัยเวียงจันทน์และหลวงพระบางเป็นจำนวนมากอยู่รอบ ๆ เจดีย์ศิลา  และท่านราชครูยังได้สร้างผอูบสำริดหลังใหญ่ขึ้นเพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุ อันเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กนี้นับว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการอย่างเอกอุเหลือพรรณนา  ความเป็นอัจฉริยะบุคคลในพระศาสนาฉายแววมาตั้งแต่ยังเด็ก  ด้วยเดิมทีท่านเป็นสามเณรอยู่ในปกครองของท่านพระครูลึมบอง  อยู่ที่เมืองพาน  ครั้นอายุได้  14  ปี ท่านได้เข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพระครูยอดแก้ว  สังฆนายกแห่งเมืองเวียงจันทน์  ตรงกับปีพ.ศ.  2186  เมื่อท่านมาอยู่ด้วยพระครูยอดแก้ว  ท่านก็ใส่ใจใฝ่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม  จำความในพระไตรปิฎกได้อย่างแตกฉานรวดเร็ว  เหตุนี้เกียรติคุณในท่านจึงเป็นที่เล่าลือกว้างขวางไปทั่วนครเวียงจันทน์ ข่าวนี้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเวียงจันทน์  พระองค์ทรงโปรดสามเณรน้อยรูปนี้มากจึงพระราชทานยศศักดิ์อภิเษกเป็น   ราชาจัว    (จัวเป็นภาษาพื้นเมืองใช้เรียกสามเณร) และปวารณาพระองค์เป็นอุปัฏฐากอุปถัมภ์บำรุงอย่างดี ต่อมาราวปี พ.ศ. 2192  ราชาจัวอายุครบบวช  พระเจ้าเวียงจันทน์และท่านพระครูยอดแก้วจึงทำการอุปสมบทให้อย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร  โดยทำสีมาสมมุติคือ  อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์น้ำ)    ท่าน้ำเมืองเวียงจันทน์  และใช้พระสงฆ์ในการญัตติจตุตถกรรมถึง  500  รูป เมื่อพิธีอุปสมบทเสร็จสิ้นลง  ชะรอยจะเป็นด้วยบุญญาภินิหารแห่งท่านเข้าดลบันดาลให้มหาชนประจักษ์ชัดถึงบารมีพระนวกะรูปนี้กระมัง  จึงเกิดเหตุไม่คาดคิดคือแพขนาดใหญ่ซึ่งสมมุติเป็นโบสถ์นั้นได้แตกล่มจมลง  ทั้งพระและโยมถูกเทลงแม่น้ำหมดสิ้น   อุบัติเหตุคราวนั้นแม้ไม่มีใครถึงชีวิตแต่ก็ตกน้ำเปียกปอนตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเป็นโกลาหล สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อพระบวชใหม่ซึ่งตกน้ำไปพร้อมกันก้าวขึ้นฝั่งมา  ทั้งเนื้อตัวและไตรจีวรของท่านนั้น  ไม่เปียกน้ำเลย !!
      เหตุการณ์นี้เพิ่มความอัศจรรย์ใจแก่พระภิกษุและประชาชนทั้งหลายยิ่งนัก  โดยเฉพาะพระเจ้าเวียงจันทน์เมื่อประจักษ์ชัดในบุญฤทธิ์ของพระหนุ่มรูปนี้  จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้ท่านเป็นพระครู  ประชาชนจึงพากันเรียกท่านว่า   พระครูโพนสะเม็ก ท่านรับธุระพระศาสนาสอนทั้งหนังสือปริยัติธรรมและสอนการเจริญภาวนากัมมัฏฐานให้แก่พระภิกษุสามเณร  เชื้อพระวงศ์และสามัญชนทั่วไป  กล่าวกันว่าเมตตาธิคุณในท่านพระครูโพนสะเม็กนั้นมากมายนัก  ไม่แบ่งชั้นวรรณะแต่อย่างใด ลุปี พ.ศ. 2233  ท่านพระครูมีชนมายุได้  41  ปี  ท่านได้ทูลลาพระเจ้าเวียงจันทน์ลงมาบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนมพร้อมด้วยศิษยานุศิษย์ถึง  3,000  คน  ท่านไปถึงที่ใดผู้คนก็ขอเข้าร่วมขบวนทั้งสิ้น...  มากเข้าโดยลำดับ  
     เมื่อถึงองค์พระธาตุท่านจึงเริ่มการปฏิสังขรณ์โดยทำการหล่อเหล็กศักดิ์สิทธิ์ขึ้นชนิดหนึ่งทำเป็นยอดเจดีย์และฉาบทาตัวผอูบ  เหล็กนี้เรียกกันว่า   เหล็กเปียก   ถือกันว่าเป็น   เหล็กไหล   จำพวกหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก  ทรงอานุภาพคงกระพันกันเขี้ยวงา  ขับภูตผีปีศาจ  ป้องกันไฟและกันฟ้าผ่า  เป็นมหาอุดยิงไม่ออก  เตือนภัยและกันภัยสารพัด งานที่ท่านดำเนินการนั้นแบ่งออกเป็น  3  ช่วงคือ  ทำแต่ต้นหีบขึ้นไปถึงกลีบบัวคว่ำบัวหงายเป็นอิฐถือปูนนี่ช่วงที่หนึ่ง  จากนั้นต่อขึ้นไปเป็นรูปโกศหล่อด้วยโลหะเนื้ออ่อนที่ทราบกันดีว่าเป็น    เหล็กเปียก    นี่คือช่วงที่สอง จากเหล็กเปียกขึ้นไปถึงฉัตรหล่อด้วยทองแดงสวมต่อขึ้นไปอีก  ตอนปลายสุดทำเป็นปมมีรูไว้สำหรับปักฉัตรนี่เป็นช่วงที่สาม  ตัวฉัตรที่ท่านพระครูทำนั้นเป็นทองคำฝังพลอยและนิลหัวแหวนโดยรอบทุกชั้นนับได้เบ็ดเสร็จประมาณ  300  เม็ดเศษ  แกนคันฉัตรเป็นเหล็ก  ก้านคันฉัตรทุกก้านเป็นเงินบริสุทธิ์ฝังพลอยทุกก้านเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2547)  ยอดฉัตรก็ดี  ยอดพระเจดีย์ก็ดี  ผอูบสำริดก็ดี  ทางวัดพระธาตุพนมได้นำมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ด้านล่างภายหลังจากองค์พระธาตุล้มในปี พ.ศ. 2518  คนที่ไปวัดพระธาตุพนมสามารถไปสักการะบูชาและชมของจริงได้อย่างเต็มตาแบบไม่มีอะไรปิดกั้น (เว้นลูกกรงกันโจร) ท่านพระครูโพนสะเม็กซ่อมพระธาตุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2233  จนถึงปี พ.ศ. 2235  รวม  3  ปีจึงเสร็จสมบูรณ์  รวมความสูงจากพื้นดินถึงฉัตรได้  47  เมตร ล่วงถึงปี พ.ศ. 2256  ท่านพระครูมีชนมายุได้  83  ปี ได้มีการผลัดแผ่นดินสถาปนาให้      เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร   ขึ้นเป็นเจ้าครองเมือง  และพระราชทาสมณศักดิ์ให้ท่านพระครูโพนสะเม็กเป็น   เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก    ตำแหน่ง  สังฆนายกแขวงนครจำปาศักดิ์ ว่ากันว่า  ยิ่งชราภาพพระบารมีในท่านก็ยิ่งหอมฟุ้งไปทั่ว  ด้วยอำนาจศีลาจริยาวัตรที่งดงาม  ด้วยเมตตาที่ท่านมีให้ทุกคนไม่เลือกหน้า  ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักของผู้คนยิ่งนัก  พูดถึงขนาดว่าท่านมีความดีเป็นที่สุดจนกระทั่งถ่ายหนักออกมาก็ยังหอม    ยังมีคนต้องการนำไปบูชา       จึงมีอีกสมญานามที่ประชาชนเรียกโดยเคารพคือ    “ท่านพระครูขี้หอม
    ถึงปี พ.ศ. 2263  เจ้าราชครูมีชนมายุได้  90  ปี ท่านก็อาพาธด้วยโรคชรา  ด้วยท่านรู้กาลภายหน้าเป็นอย่างดีจึงสั่งความแก่เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรว่า  เมื่อประชุมศพท่านแล้วเสร็จให้นำอัฐิมาไว้ยังบริเวณพระธาตุพนม  ล่วงถึงวันพุธ  ขึ้น  5  ค่ำ  เดือน  7  ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กก็ถึงแก่มรณะกาล  คณะศิษย์ได้ประชุมเพลิงแล้วนำอัฐิธาตุของท่านมาบรรจุในเจดีย์น้อยด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระธาตุพนม  ผู้คนพากันเรียกเจดีย์น้อยองค์นี้ว่า  “ธาตุท่านโพนสะเม็ก”   หรือ  “ธาตุพระครูขี้หอม”  แต่บางคนก็เรียกว่า  “ธาตุพระอรหันต์ภายสร้อย”    แต่จะอย่างใดก็เป็นท่านนั่นเอง

วาระที่  3  บูรณะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นรัฐบาล ตรงกับปี พ.ศ. 2483 โดยสร้างครอบแบบสวมทับพระธาตุองค์เดิมตั้งแต่ชั้นที่  3  ขึ้นไป  และต่อยอดใหม่ให้สูงขึ้นไปอีกถึง  10  เมตร  รวมความสูงถึงยอดฉัตรเป็น  57  เมตร  แม้แต่คุณหลวงวิจิตรวาทการผู้เป็นคนรับผิดชอบการก่อสร้าง  ยังบอกว่าหวั่นเกรงองค์พระธาตุจะพังด้วยฐานเดิมเก่ามากแต่มิได้บูรณะ  หากเติมยอดต่อยอดกันเพียงอย่างเดียว  แล้วก็พังจริง ๆ ของเขาอยู่มาตั้งเป็นพัน ๆ ปี  ถล่มหลังต่อเติมได้ไม่นานเพราะทำอย่างไม่รอบคอบ  ไม่อยากต่อว่าจอมพล ป.  เพราะท่านคงมีเจตนาดี  หากท่านทำอะไรแปลก ๆ กับศาสนาหลายอย่าง  คราวย้ายเทวรูปในโบสถ์พราหมณ์ไปก็ทีหนึ่งละ อ้างว่าน้ำท่วมเกรงพราหมณ์จะรักษาไม่ไหว แหม ! ว่าจะไม่พูดถึงแล้วเชียว ไม่พูดก็ไม่พูด   เอาเป็นว่าซ่อมใหญ่  3  วาระ  แต่วาระ  3  ไม่อยากพูดถึงจึงขอคุยถึงวาระพิเศษแล้วกัน  จะคุยเรื่องนี้ต้องพาท่านผู้อ่านย้อนยุคกลับไปอีกที  โน่นครับสมัยปี พ.ศ. 2444  โน่นในปีนี้นะ  องค์พระธาตุพนมเก่าชราคร่ำคร่ามากที่สุด  เหตุเพราะไม่มีใครเข้ามาบูรณะเลยตลอดระยะเวลา  209  ปี หลังจากท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กทำนวกรรมครั้งใหญ่ไปตอนนั้น   เพราะอะไรน่ะหรือ กลัวตายน่ะสิ !!
     เรื่องมีอยู่ว่า  ก่อนปี พ.ศ. 2444   พระธาตุพนมทรุดโทรมไม่เจริญตาเจริญใจเลย  ถึงขนาดมีต้นโพธิ์  ต้นไทรโตเท่าแขนผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ขึ้นเกาะรกเรื้อตามองค์พระธาตุเต็มไปหมด  เศษอิฐเศษปูนแตกกะเทาะหล่นเกลื่อนกลาดรอบพระเจดีย์เป็นที่น่าสลดใจ แม้วิหารใหญ่ซึ่งเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ได้ปฏิสังขรณ์ไว้อย่างสวยงามอลังการ  เล่ากันว่าหากใครเข้าไปในวิหารหลวงนั้น   ตัวย่อมเหลืองอร่ามดังทองทาด้วยภายในปิดทองล่องชาดแต่งแต้มล้วนแล้วด้วยทองคำ  เรียกมหาวิหารนี้ว่า   หอพระแก้วแต่ปีนี้เล่า  หอพระแก้วยังไม่พ้นพังทลายลงด้วยกาลเวลาเป็นกองอิฐกองปูน  ไม่มีสิ่งใดเหลือพอประกาศความงามในอดีตให้ระลึกได้ ลานพระบรมธาตุเองก็รกเรื้อไปด้วยหญ้าคา  หญ้าแพรก  และเศษใบไม้เกลื่อนกลาด  กระทั่งจะหาที่ลงนั่งเพื่อกระทำสักการะก็ไม่มี นับแต่สถาปนาองค์พระธาตุพนมมา  ในยุคนี้นับว่าเข้าสู่ภาวะเสื่อมโทรมถึงขีดสุด  และมิใช่ว่าเป็นเพราะชาวบ้านร้านถิ่นละแวกนั้นไร้ศรัทธาในองค์ธาตุ  ใช่ว่าเขาทั้งหลายจะไม่เคยคิดบูรณะให้งดงาม   แต่....
    ใครก็ตามที่หาญกล้าเป็นผู้นำ  ลงมือดายหญ้า  เก็บกวาดใบไม้  หรือปัดกวาดเศษอิฐ  เศษปูน  ไม่ต้องทันนานย่อมประสบเหตุชวนสยองอย่างไม่อาจเลี่ยงได้  บ้างก็เลือดออกปากออกหู  บ้างก็เป็นลมชักตาตั้ง  บ้างป่วยไข้เอาหนักหนารักษาอย่างไรก็ไม่หายได้เลย   จนกระทั่ง...
     ต้องนำกุ้งพล่าปลายำ  เครื่องเซ่นสรวงบัดพลีและดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาขมาโทษ  อาการวิปริตที่เกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้นก็จะหายไปเป็นอัศจรรย์และนี่มิใช่คำขู่ พราะที่ตายไปจริง ๆ ก็มีมาก    ทำให้พระธาตุพนมขณะนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับใคร ๆ    เชื่อกันว่า   อารักษ์   ของพระบรมธาตุนี้เฮี้ยนนัก
    ครั้นถึง พ.ศ. 2444  มีพระธุดงค์เที่ยววิเวกผ่านมายังพระธาตุพนมแล้วแวะเข้ามาแขวนกลดอยู่ในป่าบริเวณตระพังโบราณ(สระน้ำ)ใกล้องค์ธาตุ   เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวก็พากันเข้ามากราบนมัสการด้วยความปีติยินดี ครั้นสนทนากันแล้วจึงได้ทราบว่ารูปหนึ่งคือ   ท่านพระครูสีทา  ชยเสโน  วัดบูรพา ต.ในเมือง  อ.เมือง  จ.อุบลราชธานี   ท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของ   ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต  พระอาจารย์ใหญ่ในหมู่พระกัมมัฏฐานภาคอีสาน  อีกรูปหนึ่งคือ  พระปัญญาพิศาลเถร  หรือ  ท่านเจ้าคุณหนู  ฐิตปัญโญ   วัดปทุมวนาราม  พญาไท  กรุงเทพ  ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระราชสังวรญาณ (พุธ  ฐานิโย)  วัดป่าสาลวัน  อ.เมือง  จ.นครราชสีมา     ต่อมาท่านทั้งสองและคณะได้เมตตาพักจำพรรษายังสถานที่นั้นเพื่อโปรดชาวบ้านให้มีที่พึ่งหายขลาดกลัวกับพระธาตุ   ชาวบ้านจึงพากันร้องขอให้ท่านทั้งสองเป็นองค์บูรณะพระธาตุพนม
     ท่านอาจารย์ทั้งสองได้พิจารณาแล้วเห็นว่าบุญญาบารมีและวาสนาในท่านมีไม่พอกับองค์ธาตุ  จึงแนะนำให้ทายกทายิกาชาวธาตุพนมลงไปเมืองอุบลราชธานี   เพื่อนิมนต์พระมหาเถระรูปหนึ่งมาปฏิสังขรณ์ด้วยเชื่อมั่นในบุญบารมีของท่าน ท่านมีสมณศักดิ์ว่า   พระครูอุดรพิทักษ์คณะเดช   ภายหลังท่านได้เลื่อนเป็น      พระครูวิโรจน์รัตโนบล  (บุญรอด  นันตโร)
     หากชาวอุบลฯ นิยมเรียกท่านโดยศรัทธาอย่างแรงกล้าว่า   ท่านพระครูดีโลด   บ้าง   ญาท่านดีโลด   บ้าง   หรือ   หลวงปู่ดีโลด   บ้าง ญาท่านดีโลด   มีคุณธรรมที่ควรแก่ภิกษุและความเป็นครูโดยแท้  ด้วยท่านเป็นผู้มีขันติธรรมความอดทน  มีวิริยะความเพียร  มีใจสุขุมคัมภีรภาพ  เยือกเย็น  อ่อนโยน  มีเมตตากรุณาแก่บุคคลทุกประเภท  รู้หลักการพูดจาปฏิสันถารแก่ชนทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรท่านก็ว่าดีทั้งนั้นไม่มีขัดคอ  
     ที่สำคัญ  ท่านเก่งงานนวกรรมคือการก่อสร้างมาก  งานเผาอิฐ  ก่ออิฐ  ฉาบปูน  กระทั่งถึงรายละเอียดที่ต้องเขียนภาพและลวดลายจำหลักต่าง ๆ  ท่านก็ปรีชาสามารถนัก  ทำให้ท่านเหมาะสมแก่การบูรณะองค์พระธาตุพนมเป็นที่สุด
     ดังนั้น  คณะศรัทธาชาวนครพนมจึงเดินทางลงมายัง    วัดทุ่งศรีเมือง    ในตัวจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อกราบอาราธนาท่านพระครูวิโรจน์ฯ  
     เมื่อท่านทราบความก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด  หากรับคำด้วยความยินดียิ่งและกำหนดวันเดินทางไปวัดพระธาตุพนมทันที  
    ท่านมาถึงพระธาตุพนมในเดือนอ้าย  ข้างขึ้น   แรกเริ่มท่านได้ประชุมผู้ใหญ่และชาวบ้านว่าจะให้ท่านทำอย่างใด  เขาว่าให้พาปูลานพระธาตุเอาหญ้ารกออกพอให้มีที่นั่งกราบไหว้บูชาเท่านั้นก็พอ  ท่านจึงตอบว่า ถ้าไม่ให้เราทำแต่ดินไปจนถึงยอดพระธาตุและแต่ยอดลงมาถึงดินแล้วเราจะไม่ทำ
     ด้วยความขลาดกลัวชาวบ้านจึงพากันคัดค้านไม่ให้ท่านทำ  กล่าวหาว่าท่านเป็นพระแต่ไม่อยู่ในธรรมวินัย  จะรื้อเจดีย์ตัดศรีมหาโพธิ์ลอกหนังพระเจ้า  บาปหนัก  บ้างก็ว่า ถ้าปล่อยให้ท่านทำอย่างนั้น   ภูมิอารักษ์   ที่ดูแลองค์ธาตุอยู่ย่อมบันดาลให้วิบัติฉิบหายตายกันเป็นเบือดั่งที่เคยประสบ
     ญาท่านดีโลดและคณะศิษย์จึงเมตตาชี้แจงแก่ชาวบ้านให้เห็นตามเป็นจริง  แต่ก็ไม่เป็นที่ตกลงกันได้  ท่านจึงว่า   เมื่อไม่ยอมให้ทำการซ่อมแซมโดยวิธีดังกล่าวก็จะกลับอุบลล่ะนะ  ชาวบ้านตอบว่า จะกลับก็ตามใจ  แล้วพากันเลิกประชุมแยกย้ายกันกลับบ้านไป และเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น...!
     ขณะชาวบ้านแยกย้ายกันเพื่อกลับเรือนตนนั้น  หลายคนยังไม่ทันได้ถึงบ้าน  ก็เกิดผีเข้าเจ้าสิงประกาศศักดาเดชว่าเป็นเจ้าเฮือนผู้ทรงมเหศักดิ์สถิตอยู่    องค์พระธาตุพนม   พากันบ่นด่าคาดโทษพวกชาวบ้านให้วุ่นวายอลหม่าน  ชี้หน้าด่ากราดต่อชาวบ้านที่ขัดขวางท่านพระครูมิให้ซ่อมแต่งองค์พระธาตุ  และประกาศก้องในท่ามกลางว่า.. 
          “อ้ายอีคนใดมันบังอาจขัดขวางเจ้ากูมิให้ซ่อมแซมพระธาตุได้  กูจะหักคอมันเสีย  ท่านอยากทำก็ปล่อยให้ทำเป็นไร  สูจะไปขัดขืนท่านทำไม   แต่กูเองก็ยังกลัวท่าน
     ชาวบ้านพากันตกตะลึงพรึงเพริด  เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้นก็พากันหวาดกลัวต่อความตายที่กำลังกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้า  ชักชวนกันโกยอ้าวกลับมาวัดทั้งที่ยังไม่ถึงบ้านตน  เมื่อพบท่านพระครูวิโรจน์ฯ ก็พากันกราบไหว้ร้องไห้วิงวอนขอขมาลาโทษเป็นการใหญ่  นิมนต์ไว้มิให้กลับอุบลฯ ประสงค์จะทำอย่างใดก็ทำเถิด
     ฝ่ายท่านพระครูวิโรจน์ฯ เห็นการณ์เป็นเช่นนี้ก็ดำริอยู่ในใจว่า  “ความมุ่งหวังของเราจะสำเร็จเป็นมั่นคงคราวนี้แล้ว  เพราะแม้ผีสางเทวดาก็ช่วยเรา”   หากกิริยาภายนอกท่านแสร้งทำทีจะกลับอุบลฯในวันรุ่งขึ้นให้ได้  ชาวบ้านก็วิงวอนไม่หยุดปากมอบธุระแก่ท่านทุกสิ่งจนเป็นที่พอใจแก่ท่านพระครูแล้ว  ท่านก็รับนิมนต์อยู่ต่อไป
     นี่คือบุญฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ใจในองค์ท่านพระครูวิโรจน์ฯ สมดังที่ท่านพระครูสีทาและท่านพระอาจารย์หนูได้กล่าวรับรองว่า  ท่านพระครูดีโลดเท่านั้นที่จะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมได้  เพราะแม้เทพยดาที่ทรงมหิทธานุภาพก็ยังคร้ามเกรงต่อบารมีของท่าน
     งานได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในเดือนอ้าย  ขึ้น  14  ค่ำ  เมื่อแรกไม่มีใครกล้ามาช่วยด้วยกลัวอันตรายจากสิ่งลึกลับ  แม้พระ-เณรในวัดเองยังปิดหน้าต่างประตูกุฏิหลบลี้หนีหน้าไม่กล้ามองดู
 ต่อนานเข้าถึงขึ้น  15  ค่ำ  เดือน  3  คนจึงหลั่งไหลมาดังมดดังปลวกจนจะไม่มีที่พัก  สรรพอาหารทั้งสดทั้งแห้ง  และเงินทองก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสายมากมายผิดปกติ  แม้เจ้าเมืองสกลนครและหนองคายก็ให้ช้างมาใช้ในงานจนแล้วเสร็จ
     ข้างเศษอิฐเศษปูนที่กะเทาะเรี่ยจากองค์ธาตุ  ท่านพระครูมิให้ทิ้งเกะกะ  ท่านให้เก็บแม้เศษเล็กเศษน้อยแล้วทำเจดีย์เล็กบรรจุไว้ต่างหากที่ลานพระธาตุด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้   เรียกกันว่า  ธาตุหุ่น    ต่อนั้นจึงทำการฉลองขึ้นในวันพุธ  เดือน  3  ขึ้น  13  ค่ำ
     การซ่อมพระธาตุพนมในปกครองท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบลควรจบลงแล้วแต่เพียงนี้  ทว่าเหตุต่อไปดังจะเล่านับว่าเป็นอุทธาหรณ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักกับคนไม่รู้บาปรู้บุญ เมื่อญาท่านดีโลดบูรณะพระธาตุแล้วเสร็จยังมีเงินเหลืออีกประมาณ  100  ชั่งเศษ ๆ เทียบปัจจุบันก็เป็นล้าน  เงินดังกล่าวท่านและคณะได้นำไปมอบให้พระยาพนมครานุรักษ์   เจ้าเมืองนครพนมเก็บรักษา  ต่อมาเจ้าเมืองไม่รู้ความควรไม่ควรนำเงินไปออกดอกให้กู้ยืมหมุนไปหมุนมา  ครั้นทางวัดต้องการปัจจัยมาใช้   ก็ได้เงินไม่ครบจำนวน
     ไม่นานนักก็เข้าสู่ฤดูฝน  และในวันหนึ่งของเดือนหกได้เกิดฟ้าผ่าลงมาอย่างแรงที่ต้นมะพร้าวในจวนท่านเจ้าเมือง ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว  ไฟลามไปถึงตัวเรือนโดยไม่สามารถดับได้ทันแล้วลุกลามไปยังหอนั่งว่าราชการกระทั่งไหม้ไปจนทุกอาคารในบริเวณ  อีกทั้งยังเกิดฟ้าผ่าลงไปที่โรงช้าง  โรงม้า  จนวอดวายหมดไม่อาจทำอะไรได้  คงแต่ห่อวัตถุเงินทองของมีค่าต่าง ๆ นานาเท่าที่จะหยิบฉวยได้ออกจากบ้านไปไว้กลางทุ่ง
     และเป็นที่น่าขนหัวลุก  เมื่อบังเกิดไฟฟ้าสีเขียววิ่งเป็นสายออกจากกองไฟใหญ่ตามไปเผาวัตถุสิ่งของที่ก่ายกองกันไว้กลางทุ่ง  จะกี่กอง  กี่กลุ่ม  ไฟฟ้าก็ตามไปเผาหมดสิ้นไม่มีชิ้นดี  หากบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียงจะถูกไฟทำอันตรายแม้สักน้อยก็หาไม่
     นอกจากนี้ในวันเดียวกันได้เกิดอาเพศมีเรือสำเภา  2  ลำ  ซึ่งพ่อค้าบนเรือได้มาขอยืมเงินท่านเจ้าเมืองไปทำทุนและเงินนั้นก็คือเงินวัด   ขณะแล่นอยู่ในแม่น้ำโขงได้เกิดลมพายุใหญ่อย่างกะทันหันพัดตีเรือล่มจมลงเสียทั้งสองลำ
     เหตุการณ์นี้สร้างความอัศจรรย์แก่ประชาชนยิ่งนัก  ทำให้เพิ่มความเคารพยำเกรงในองค์พระธาตุพนมมากขึ้นไปอีก  ทุกวันนี้คนเฒ่าคนแก่ยังเล่าเรื่องนี้สืบต่อกันมาและสอนลูกสอนหลานว่าอย่าประมาทในองค์พระธาตุพนมและสมบัติขององค์ธาตุเป็นอันขาด  มิฉะนั้นย่อมถึงแก่ความวิบัติได้ในวันข้างหน้า  เรื่องนี้เกิดในราวปี พ.ศ. 2450
     เกี่ยวกับสมบัติในองค์พระธาตุยังมีอีก  เช่นครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2445  พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์  ได้สั่งให้คนนำกลองมโหระทึกของพระธาตุพนมขึ้นไปไว้ยังตัวเมืองนครพนม  เวลานั้นคนงานได้มาทำการหามย้ายกลองจากในวัดพระธาตุเคลื่อนออกไปทางถนนอิฐเพื่อออกประตูน้ำหน้าวัดซึ่งเป็นประตูที่หนึ่ง
     บัดนั้นเอง  ได้เกิดอาเพศวิปริตต่อหน้าพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์  คือมีเสียงดังตึงตังโครมครามขึ้นในกลองมโหระทึกแล้วมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เท่าคนมีขนสีดำรุงรังทั้งร่าง   หน้าตาน่าสะพรึงกลัววิ่งออกมาจากกลองได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ปีศาจนั้นเผ่นตะโพงลงไปในบึงทางใต้วิ่งไปบนน้ำแตกกระจายเป็นระลอกเสียงดังสนั่นดุจควายใหญ่วิ่งลุยน้ำไปกระนั้น   พระยาสุนทรกิจจารักษ์และบริวารตกใจสุดขีดยืนตะลึงพรึงเพริดไม่รู้สติไปครู่ใหญ่  
     ครั้นได้สติก็ทิ้งกลองมโหระทึกพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทางแหกปากร้องเอะอะว่า  ผีหลอก...  ผีหลอก...   ต้องนำมโหระทึกลูกนั้นกลับมาไว้ในวัดพระธาตุพนมอย่างเก่า  ต่อมาคนเหล่านั้นพากันล้มป่วยลงมีอาการหนัก  ต้องให้ญาติพี่น้องนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้บูชาขอขมาองค์พระธาตุและเทวดาอารักษ์ที่รักษาวัดจึงได้หายเป็นปกติ นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครล่วงเกินได้




     สมัยผ่านมาถึงกึ่งพุทธกาล  ตรงกับวันอาทิตย์ที่  29  กันยายน  พ.ศ. 2500  ขึ้น  5  ค่ำ  เดือน  11  ปีระกา ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีสอง  มีฝนตกหนักมากในตัวอำเภอธาตุพนม  ตกหนักอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก็ค่อยซาลงแล้วเป็นตกพรำ ๆ  น่าแปลกว่าขณะฝนตกหนักนั่นเกิดฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวกระทั่งแผ่นดินสะเทือนอยู่หลายหน
     ตอนนั้นนายไกฮวด  ชาวบ้านในตลาดธาตุพนมออกมารองน้ำฝนใส่ภาชนะที่หน้าบ้าน  ได้เห็นแสงประหลาดขนาดใหญ่เท่าลำตาลมีสีสันต่าง ๆ กันพุ่งแข่งกันมาจากทางทิศเหนือ  พอแสงนั้นมาถึงซุ้มประตูวัดพระธาตุก็พากันลอดซุ้มเข้าไป     ตรงไปที่องค์พระธาตุพนมแล้วหายเข้าไปทีละดวง ๆ 
     ขณะนั้นนายไกฮวดยังได้เรียกภรรยาออกมาดูด้วย  ก็พากันสงสัยว่าคืออะไรและมาแต่ไหน  ทีแรกว่าจะวิ่งไปดูที่ริมโขงเพราะโล่งดีก็กลัวฟ้าคะนอง  ได้แต่แอบมองดูเงียบ ๆ  พอรุ่งก็เล่าให้ใครต่อใครฟังแต่ไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก
     ต่อมาอีกสองวันเรื่องได้ทราบถึงหู  พระเทพรัตนโมลี (แก้ว  อุทุมมาลา)  เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม  ท่านได้ให้   สามเณรทรัพย์   ซึ่งนั่งสมาธิเก่งมากพิจารณาดูเหตุการณ์ในวัด  จิตของเณรน้อยหยั่งเข้าไปถึงลานพระธาตุก็พบกับงูใหญ่  7  ตัว มีเกล็ดขาว  หงอนแดงและหางแดง   ขนดเรียงกันเป็นแถว
     ขณะที่เณรน้อยกำลังงงด้วยไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน  งูใหญ่ทั้ง  7  ก็กลายเพศเป็นชายหนุ่ม  7  คนทรงชุดขาวนั่งเรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุชั้นใน  สามเณรยิ่งสนเท่ห์ใจหนักเข้า  กำลังสับสนอยู่นั่นเองมาณพผู้ดูลักษณะแล้วว่าคงเป็นหัวหน้าก็ถามขึ้นมาว่า พ่อเณรมีธุระอะไรอย่ากลัว  จงบอกมา
     พ่อเณรของชายหนุ่มลึกลับไม่ได้ตอบอะไรแต่กำหนดจิตหันกลับกุฏิทันที   ทันทีนั้นชายผู้เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า  “พ่อเณรจะกลับแล้วหรือ  ขอไปด้วย  จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ”  พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณร  เณรน้อยเล่าภายหลังว่าหมดสติวูบไปทันที
     ขณะนั้น  ร่างจริงของสามเณรที่ขัดสมาธิภาวนาอยู่เบื้องหน้าท่านเจ้าคุณแก้วและแขกของท่านอีก  4  คนก็ลืมตาขึ้น  แล้วยกมือไหว้ท่านเจ้าคุณแก้วพลางว่า   “สวัสดีท่านเจ้าคุณ  หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ
     อากัปกิริยาดังกล่าว  ท่านเจ้าคุณแก้วย่อมทราบแก่ใจดีว่าสามเณรที่ท่านเลี้ยงมากับมือไม่ทำเช่นนี้แน่  อีกทั้งการพูดการจาก็มิใช่ลักษณะสามเณรทรัพย์คนเก่า  ท่านจึงซักไซร้ไต่ถาม  เณรน้อยได้ตอบอย่างฉะฉานใช้ศัพท์และถ้อยคำอย่างผู้อาวุโสในโลกมานาน  ยังความอัศจรรย์แก่ท่านเจ้าคุณและผู้อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนัก  ได้ความว่า...
     ท่านทั้ง  7  เป็นพญานาคราช  แต่เดิมอาศัยอยู่ในสระอโนดาตบริเวณเทือกเขาหิมาลัย  หากองค์อัมรินทราธิราชได้มีบัญชาให้มารักษาองค์พระธาตุพนมแทนเทวดาพวกเก่า  เพราะพวกหมู่นั้นชอบแต่กินสินบนเครื่องเซ่นสรวงบูชา  แม้ใครไม่ให้หรือหลงลืมก็ลงโทษเขาต่าง ๆ นานา  เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระบรมธาตุ
     ท่านทั้ง  7  จึงมาตามเทวบัญชาและขับไล่เทวดาพวกเก่าทั้งหมดหนีไปแล้ว  ต่อนี้ไปจะรักษาพระธาตุพนมไปจนกว่าจะสิ้นศาสนาของพระสมณโคดมถ้วน  5,000  ปี  ท่านทั้งเจ็ดมีนามอันเป็นมงคลตามโพชฌงค์อริยทรัพย์อันประเสริฐดังนี้   
พญาสัทโธนาคราชเจ้า มีรัศมีกายสีน้ำเงิน  
พญาสีลวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเขียวนิล  
พญาหิริวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเขียวอ่อน  
พญาโอตตัปปวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเหลือง  
พญาพาหุสัจจวุฒินาโค มีรัศมีกายสีชมพู  
พญาจาคะวุฒินาโค มีรัศมีกายสีแสด  และ  
พญาปัญญาเตชะวุฒินาโค มีรัศมีกายสีขาว   

โดยนาคทั้งเจ็ดนั้นมีพญาสัทโธนาคราชเจ้าผู้เปี่ยมด้วยบุญบารมีและฤทธานุภาพยิ่งกว่าใครในกลุ่มเป็นหัวหน้า
     ท่านทั้ง  7  ไม่ประสงค์เครื่องเซ่นแต่อย่างใด    หากต้องการติดต่อหรือต้องการบูชาท่านจริง ๆ ให้ใช้แต่น้ำสะอาดถ้วยเดียว  หรือถ้าประสงค์ความช่วยเหลือให้ตั้งน้ำ  1  ขันลอยดอกมะลิ  จุดธูปขึ้น  7  ดอก  ท่านก็จะไปสงเคราะห์ให้  ไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลกก็ไปได้ทั้งนั้น
     จากคำบอกเล่าของท่านนับว่าเป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องสำหรับเราผู้คลุกคลีอยู่กับกามโลก  คงไม่อาจรู้เห็นได้อย่างท่านผู้ประพฤติธรรม  ทราบจากครูบาอาจารย์ทุกองค์เลยว่า เมื่อออกธุดงค์แล้วเป็นต้องได้พบเจอ   นาค   เสมอไป  หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม  บอกว่าที่ไหนมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่นั่นก็มีนาค   นาคชอบน้ำมากดังนั้นถ้านาคมาฝนจะตกเป็นสัญลักษณ์ทีเดียว
     จากนั้นพญานาคทั้ง  7  ได้ประทับสามเณรถี่ขึ้น  ช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์  เช่น  สูบนิ่วออกจากท้องคนป่วยด้วยปากเปล่า  กลับไปเอ๊กซเรย์ก้อนนิ่วก็หายไปจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเพราะตอนสูบแล้วบ้วนออกมาก็มีก้อนนิ่วในปากพร้อมเลือดจริง  ทุกวันนี้ทางวัดยังเก็บโหลใส่ก้อนนิ่วไว้เป็นอนุสรณ์นับสิบโหลรักษาหายได้จริงตามบันทึกวัดนับพัน ๆ ราย เป็นที่น่าเสียดายว่าพญานาคทั้งเจ็ดปฏิญาณว่าจะประทับร่างของผู้มีศีล  8  ขึ้นไปเท่านั้น  และคน ๆ นั้นต้องฝึกกัมมัฏฐานจนได้ขั้นอุปจารสมาธิด้วย  เงื่อนไขสุดท้ายคือจะประทับได้ต้องมีท่านเจ้าคุณแก้วอยู่เป็นประธานทุกครั้งไป
     ซึ่งทุกวันนี้ก็หมดสิทธิ์เพราะท่านเจ้าคุณแก้วมรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532  โน้นแล้ว  เรื่องการประทับทรงจึงเป็นอันเลิกรามาแต่นั้น
     มรดกที่พญานาคทั้ง  7  องค์ให้ไว้คือบรรดาพระเครื่องที่สร้างขึ้นด้วยเนื้อว่านและผงพุทธคุณก่อนปี พ.ศ. 2518  และสร้างจากผงอิฐพระธาตุพนมหลังจากพระธาตุล้ม  ท่านกราบเรียนเจ้าคุณแก้วไว้ว่า  หากจะทำพระเครื่องหรือน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ขอเพียงนำสิ่งของนั้น ๆ ไปตั้งไว้ภายในกำแพงแก้วชั้นในสุดติดกับองค์พระธาตุแล้วทิ้งไว้  1  คืน  พอรุ่งอรุณเป็นอันว่าสิ่งของเหล่านั้นมีอานุภาพเต็มสมบูรณ์  อย่าได้สงสัยเลย
     พระธาตุพนมได้ล้มลงในวันจันทร์ที่  11  สิงหาคม  พ.ศ. 2518  เวลา  19.38  น.  ก่อนพระธาตุล้ม  7  วัน  ปรากฏเสียงร่ำไห้โหยหวนดังอยู่ทุกคืนไปทั่ว   สร้างความหวาดสยองแก่คนในวัดพระธาตุพนมและชาวบ้านใกล้เคียงเป็นนักหนา  สังหรณ์แต่ว่าจะเกิดเหตุอาเพศหากไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร   ต่อพระธาตุล้มแล้วจึงได้ทราบ
     มีเรื่องมหัศจรรย์โดยแท้เมื่อพระธาตุพนมล้ม  จักขอยกมาเป็นบางเรื่องที่สำคัญเท่านั้นคือ
     1.  เมื่อพระธาตุชั้นที่หนึ่งพังทลายลง  พระธาตุชั้นที่สองก็เอียงลงมาลักษณะคว่ำลงสู่พื้นดิน  ด้วยลักษณาการนี้ถาดสำริดที่รองรับเจดีย์ศิลาและบุษบกทองคำต้องตกลงมาสู่พื้นในลักษณะคว่ำและวัตถุสิ่งของในถาดอันเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยต้องกระจัดกระจายไปทั่ว  แต่เมื่อตกถึงพื้นกลับอยู่ในลักษณะเก่าคือหงายรองรับเจดีย์ศิลาและบุษบกทองคำอยู่เช่นเดิมไม่มีวัตถุใดกระเด็นออกมา  เหมือนกับมีคนจับยกลงมาวางไว้มากกว่าจะตกลงมาเองเป็นที่น่าอัศจรรย์
     2.  ขณะตรวจผอบได้พบว่ามีพระอุรังคธาตุอยู่จริงย่อมเป็นที่โล่งอก  จะได้รู้เห็นกันชัด ๆ ไปเลยว่ามีพระบรมธาตุบรรจุอยู่ในพระเจดีย์จริงมิใช่เรื่องแต่ง  และในแก้วผลึกที่ใสยิ่งกว่าใสนั้น  มีกระดูกลักษณะที่ยังไม่ได้เผา  8  ชิ้นตรงกับที่ตำราระบุไว้จริงว่า   พระมหากัสสปะเถรเจ้าตั้งจิตอธิษฐานแล้วพระอุรังคธาตุก็เสด็จออกจากพระบรมศพมาสู่ฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะก่อนที่ไฟทิพย์จะลุกโชนขึ้นเผาพระพุทธสรีระ  และเมื่อทำการเปิดฝาทองคำที่ปิดแก้วผลึกนั้นออกดูปรากฏกลิ่นหอมเย็นคล้ายน้ำมันจันทน์โชยไปไกลเป็นระยะถึง  10  เมตรเศษทั่วบริเวณ  บางคนถึงกับว่าเทพยดามาโปรยดอกไม้ทิพย์บูชาพระอุรังคธาตุ
     3.  ฉัตรทองคำยอดพระบรมธาตุได้ปาฏิหาริย์ไปพิงอยู่ที่ฝาผนังกำแพงหอพระแก้วโดยมีรอยขูดขีดเสียหายเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความสูงที่อยู่บนสุดด้วยระยะ  57  เมตร  และทองคำเป็นโลหะที่นิ่มมากแรงกระแทกขนาดนั้นกลับไม่เสียหายอย่างที่วิตกแต่แรก  ที่สำคัญมิได้ล้มแต่ไปพิง
     4.  รูปหล่อโลหะสี่องค์ขนาดเท่าคนจริงของพระมหาเถระองค์สำคัญผู้มีอุปการคุณต่อพระธาตุพนมและมหาชนทั่วไป  ซึ่งรูปหล่อทั้งหมดนี้ประดิษฐานอยู่อย่างใกล้ชิดองค์พระธาตุพนมตลอดทิศทั้งสี่  เมื่อพระธาตุล้มรูปจำลองเหล่านี้กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย  ขอย้ำว่าแม้แต่น้อย  ดูรูปการณ์ดุจดังพระธาตุล้มแล้วจึงนำรูปเหมือนทั้งสี่ไปตั้งภายหลังน่าอัศจรรย์นัก  รูปหล่อทั้งสี่องค์ประกอบด้วย  ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม)  ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด  นันตโร)  ท่านพระครูศีลาภิรัต (หมี  อินทวังโส)  และ  ท่านพระเทพรัตนโมลี (แก้ว  อุทุมมาลา)
     พระธาตุพนมองค์ใหม่ถูกสร้างขึ้นในวันศุกร์ที่  28  พฤษภาคม  พ.ศ. 2519  แรม  15  ค่ำ  เดือน  6  ปีมะโรง วันนี้เป็นปีงูใหญ่ได้ลงเสาเข็มพระธาตุองค์ใหม่  โดยการสร้างครั้งนี้เป็นแบบสร้างครอบของเก่าลงไปเลยทีเดียว  เพราะตอนพระธาตุล้มเป็นส่วนต่อชั้นที่สองซึ่งมาเติมสมัยพญาสุมิตตธรรมวงศาขึ้นไปที่ล้มลง  ในส่วนของอุโมงค์และฐานเดิมยังคงอยู่
     พระธาตุพนมองค์ใหม่สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2521 ประกอบพิธียกฉัตรเมื่อวันพฤหัสบดีที่  22  มีนาคม  พ.ศ. 2522  โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ  สมเด็จพระสังฆราช  (วาสน์  วาสโน)  เป็นองค์ประธานพิธี
     ประกอบพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุเมื่อวันศุกร์ที่  23  มีนาคม  พ.ศ. 2522  โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา  และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์


ขอขอบคุณที่มา: http://www.thatphanom.com

 
ขอขอบคุณ http://www.youtube.com : เพลงพระทอง-นางนาค / พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์